จำเลยยอมรับว่า กล่าวข้อความหมิ่นประมาท ไม่ถือว่าจำเลยให้การรับสารภาพ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5378/2562
ถ้อยคำของจำเลยที่ยอมรับว่าได้กล่าวข้อความตามฟ้องยังถือไม่ว่าจำเลยให้การรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดจริงตามที่โจทก์ฟ้อง ศาลย่อมไม่อาจแน่ใจได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริงหรือไม่ จึงไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคหนึ่ง ในกรณีเช่นนี้ ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาศาลชั้นต้นควรจะฟังข้อเท็จจริงตามประเด็นที่คู่ความนำสืบเสียก่อนแต่ศาลชั้นต้นกลับมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์และโจทก์ร่วมและนัดฟังคำพิพากษาโดยมิได้เปิดโอกาสให้คู่ความทำการสืบพยาน จึงเป็นการที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายวิธีพิจารณาความว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ปัญหาว่าคำให้การจำเลยถือว่าเป็นการรับสารภาพหรือไม่ แม้จำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ทั้งศาลอุทธรณ์ภาค 7 มิได้ยกข้อกฎหมายนี้ซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนขึ้นวินิจฉัย ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
น้องชายโจทก์ร่วมอาศัยอยู่ที่บ้านของโจทก์ร่วมทั้งเคยมีประวัติในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษหลายคดีอีกด้วย แสดงว่าน้องชายโจทก์ร่วมมีพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษ ซึ่งการกระทำความผิดเป็นภัยร้ายแรงต่อสังคมส่วนรวมซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไป โดยจำเลยมิต้องนำสืบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84(1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 และอาจทำให้บุคคลทั่วไปรวมถึงจำเลยเชื่อว่าน้องชายโจทก์ร่วมมีส่วนเกี่ยวข้องในการจำหน่ายยาเสพติดให้โทษการกระทำของจำเลยที่กล่าวหาต่อหน้า ส. ว่าบ้านของโจทก์ร่วมค้ายาเสพติดที่พัทยา ถือว่าไม่มีเจตนาที่จะใส่ความโจทก์ร่วมให้เสียชื่อเสียงว่าถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง แต่เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยที่จำเลยชอบที่จะกระทำได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(3)
จำเลยเชื่อว่าโจทก์ร่วมหลอกให้จำเลยไปซื้อที่ดินและตึกแถวเพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากตึกแถวโดยโจทก์ร่วมไม่สนใจที่จะหาคนมาซื้อตึกแถวของจำเลย เป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายเพราะว่าโจทก์ร่วมได้รับประโยชน์จากตึกแถวของจำเลยแต่เพียงฝ่ายเดียวจากการที่จำเลยให้โจทก์ร่วมและน้องสาวพักอาศัยและนำรถเข้าไปจอดภายในตึกแถวของจำเลยโดยจำเลยไม่เคยเรียกร้องค่าเช่าจากโจทก์ร่วม การที่จำเลยกล่าวกับ ส. ว่า "...และหลอกให้ไปซื้อตึกที่สนามแข่งรถ" เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(1) จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์ร่วม