สัญญากู้ยืมเงินในคดีแพ่งหากปิดอากรแสตมป์ แต่ไม่ได้ขีดฆ่าถือว่าไม่มีสัญญากู้ ศาลยกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3035/2562
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินกู้ ตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินจำเลยให้การต่อสู้ปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่า จำเลยไม่เคยลงลายมือชื่อทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ และหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเป็นเอกสารปลอม ดังนี้ การจะรับฟังว่าจำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ตามฟ้องจริงหรือไม่ย่อมต้องอาศัยหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเป็นพยานหลักฐาน เมื่อหนังสือสัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์อ้างเป็นหลักฐานในการฟ้องบังคับจำเลยให้รับผิดต่อโจทก์ มีลักษณะเป็นตราสารซึ่งต้องปิดอากรแสตมป์และขีดฆ่า ดังที่บัญญัติไว้ใน ป.รัษฎากร มาตรา 118 แต่หนังสือสัญญากู้ยืมเงินคงปิดอากรแสตมป์เพียงเท่านั้น มิได้ขีดฆ่าเสียด้วย หนังสือสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าว จึงถือเป็นตราสารที่ปิดอากรแสตมป์ไม่บริบูรณ์ ไม่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 118 และเป็นผลเท่ากับว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อจำเลยผู้กู้ยืมเป็นสำคัญ โจทก์จึงไม่อาจฟ้องร้องบังคับคดีแก่จำเลยได้ตาม ปพพ.มาตรา 653 วรรคหนึ่ง ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้ให้การต่อสู้ไว้จำเลยย่อมยกขึ้นฎีกาได้ตาม ปวิพ.มาตรา 225 วรรคสอง , 252 ประกอบ พรบ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 7
ตัวบทกฎหมายอ้างอิง
พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรพุทธศักราช 2481
มาตรา 118 ตราสารใดไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์ จะใช้ต้นฉบับ คู่ฉบับ คู่ฉีก หรือสำเนาตราสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ จนกว่าจะได้เสียอากรโดยปิดแสตมป์ครบจำนวนตามอัตราในบัญชีท้ายหมวดนี้และขีดฆ่าแล้ว แต่ทั้งนี้ไม่เป็นการเสื่อมสิทธิที่จะเรียกเงินเพิ่มอากรตามมาตรา 113 และมาตรา 114
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 653 การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว