คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจในบทบรรณาธิการ หนังสือรวมคำบรรยาย ภาคสอง สมัยที่ 71 ปีการศึกษา 2561 เล่มที่ 16
1.หนังสือมอบอำนาจทั่วไป ไม่สามารถนำมาใช้มอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2359/2561
คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องและนำสืบว่า โจทก์มอบอำนาจให้ บ. ฟ้องและดำเนินคดีแทนโจทก์ ตามหนังสือมอบอำนาจ หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวระบุข้อความในการมอบอำนาจแต่เพียงว่า บ. มีสิทธิในการลงนามเอกสารดำเนินการทั้งหมดของบริษัทสาขาทั้งภายในและภายนอก อันมีลักษณะเป็นการมอบอำนาจโดยไม่ระบุกิจการ โดยมิได้ระบุให้ บ. มีอำนาจยื่นฟ้องต่อศาล จึงเป็นหนังสือมอบอำนาจทั่วไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 801 วรรคหนึ่ง แม้โจทก์จะมี บ. มาเบิกความยืนยันว่าตามหนังสือมอบอำนาจ พยานมีสิทธิดำเนินคดีนี้แทนโจทก์ เป็นการนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขพยานเอกสาร ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 (ข) ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้ บ. ฟ้องคดีนี้แทนโจทก์โดยชอบ
2. ความผิดฐานใช้เอกสารปลอม ผิดสำเร็จทันทีที่ใช้เอกสารปลอมนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 833/2561
ความผิดฐานใช้หรืออ้างเอกสารปลอม เป็นความผิดสำเร็จเมื่อยื่นเอกสารต่อเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ รับเรื่อง ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ยื่นเอกสารราชการปลอมตามฟ้องต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่ตรวจเอกสารเพื่อยื่นซองประกวดราคาจึงเป็นความผิดสำเร็จแล้ว
3.ฎีกาต้องโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ หากโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1661/2561
ฎีกาของจำเลยที่ว่า จำเลยไม่เห็นพ้องด้วยกับศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่อยู่ของจำเลยมีน้ำหนักน้อย เพราะหากพิจารณาพยานหลักฐานประกอบเข้าด้วยกันแล้ว เชื่อได้ว่าจำเลยไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุและไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้องเป็นฎีกาโต้แย้งเฉพาะคำพิพากษาศาลชั้่นต้น มิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ว่าพิพากษาไม่ถูกต้องอย่างไร เป็นฎีกาที่มิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 วรรคหนึ่ง แม้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและสั่งรับฎีกาของจำเลยในข้อนี้มา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
4.จำนวนของจำเลยที่กระทำความผิดตามฟ้อง กับจำนวนของจำเลยที่ได้ความตามทางพิจารณาแตกต่างกัน เป็นเพียงรายละเอียด ถ้าจำเลยไม่หลงต่อสู้ ศาลลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6294/2560
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยแต่เพียงผู้เดียวฆ่าผู้ตายโดยเจตนา ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยร่วมกับพวกฆ่าผู้ตายโดยเจตนา ดังนี้ เป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียด ทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลลงโทษจำเลยฐานเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 และ 225
5.คู่ความสามารถตกลงกันให้นำคำเบิกความพยานในชั้นไต่สวนคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีอาญา มาใช้ในชั้นพิจารณาการขอรื้อฟื้นคดีอาญาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7614/2560
ก่อนเริ่มพิจารณาคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ ผู้ร้องแถลงขอให้ถือเอาบันทึกคำเบิกความของ ส.จ.ท.บ.และ ร. พยานในชั้นไต่สวนคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่เป็นคำเบิกความในชั้นพิจารณาด้วย ศาลชั้นต้นสอบผู้คัดค้านแล้ว ผู้คัดค้านแถลงไม่ค้าน พอแปลได้ว่าเป็นกรณีที่คู่ความตกลงได้ว่าเป็นกรณีที่คู่ความตกลงกันและศาลชั้นต้นอนุญาตให้ถือเอาบันทึกคำเบิกความพยานในชั้นไต่สวนคำร้องเป็นคำเบิกความพยานในชั้นพิจารณา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 237 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ.2526 มาตรา 16
6. ผู้เสียหายไม่ยอมมาเบิกความต่อศาล ศาลสามารถรับฟังคำให้การชั้นสอบสวน และพยานอื่นในชั้นสอบสวนที่เป็นเพียงพยานบอกเล่าเพื่อลงโทษจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 80/2561
แม้ในชั้นพิจารณาโจทก์ไม่ได้ผู้เสียหายมาเบิกความเป็นพยาน คงมีบันทึกคำให้การของผู้เสียหายในชั้นสอบสวน และภาพถ่ายการชี้ที่เกิดเหตุของผู้เสียหาย อันเป็นเพียงพยานบอกเล่า ซึ่งในการวินิจฉัยพยานบอกเล่าที่จำเลยไม่มีโอกาสถามค้าน ศาลจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวังก็ตาม แต่ปรากฏข้อเท็จจริงตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่า ผู้เสียหายมาศาลและเบิกความเป็นพยานโจทก์ประมาณ 10 นาที ผู้เสียหายแถลงว่าจดจำข้อเท็จจริงและเรื่องราวที่ผ่านมาไม่ได้เนื่องจากเพิ่งคลอดบุตร ทั้งสองฝ่ายแถลงขอเลื่อนไปสืบพยานปากผู้เสียหายในนัดหน้า ศาลชั้นต้นอนุญาต ครั้นถึงวันนัดผู้เสียหายไม่มาศาล ศาลชั้นต้นออกหมายจับผู้เสียหายเพื่อนำตัวมาเป็นพยานหลายนัด แต่ไม่ได้ตัวมา พฤติการณ์ในการหลบหนีและไม่มาเบิกความในชั้นพิจารณาของผู้เสียหาย ถือได้ว่าเป็นกรณีที่มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดี ศาลย่อมรับฟังคำให้การของผู้เสียหายในชั้นสอบสวนซึ่งเป็นพยานบอกเล่าเพื่อลงโทษจำเลยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227/1 วรรคหนึ่ง และถือได้ว่ามีเหตุอันสมควรที่จะรับฟังคำเบิกความของผู้เสียหายที่เบิกความในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1101 - 1102/2546 และ 1420/2549 ของศาลชั้นต้น ที่พวกของจำเลยถูกฟ้องในการกระทำความผิดเดียวกันนี้ประกอบพยานหลักฐานอื่นในคดีได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226/5
7. คดีที่มีคู่ความหลายคน เฉพาะแต่คู่ความที่อุทธรณ์คำพิพากษาเท่านั้น ที่มีสิทธิฎีกาคำพิพากษาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 722/2561
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสอง โจทก์ที่ 1 อุทธรณ์ ส่วนโจทก์ที่ 2 ไม่ได้อุทธรณ์ คดีสำหรับโจทก์ที่ 2 จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ที่ 2 ไม่อาจฎีกาคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้ ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของโจทก์ที่ 2 มา ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
โจทก์ที่ 1 กล่าวอ้างว่าพินัยกรรมเกิดขึ้นโดยกลฉ้อฉล อาศัยความชราและสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์ของผู้ตาย ไม่มีผลบังคับตามกฎหมายเป็นโมฆะ ภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์ที่ 1 ผู้กล่าวอ้าง
ผู้ตายได้ลงลายพิมพ์นิ้วมือต่อหน้าพยาน ผู้พิมพ์ ผู้เขียน ครบถ้วนตามที่กฎหมายบัญญัติ พินัยกรรมจึงมีผลบังคับตามกฎหมาย
8. จำเลยไม่ให้การต่อสู้ว่าไม่ได้ทำสัญญาซื้อขาย และไม่ได้รับสินค้าตามฟ้อง แต่ยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ว่าจำเลยไม่มีหนี้ค้างชำระกับโจทก์ ภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่จำเลยยกขึ้นใหม่ว่าไม่มีหนี้ค้าง
ชำระตกแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4223/2561
โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวอ้างวันเวลาที่โจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงทำสัญญาซื้อขาย จำนวน และราคาสินค้าต่อหน่วย โดยโจทก์ส่งมอบและจำเลยที่ 1 ได้รับมอบสินค้าถูกต้องครบถ้วนแล้ว แต่จำเลยที่ 1 ชำระค่าสินค้าแก่โจทก์เพียงบางส่วนพร้อมกับแนบเอกสารใบรับรองการรมควันยา รายการบรรจุหีบห่อ ใบกำกับสินค้าและใบตราส่งมาท้ายคำฟ้องซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องด้วย จำเลยทั้งสองมิได้ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ซื้อสินค้าจากโจทก์ในจำนวนและราคาตามฟ้องหรือไม่ได้รับสินค้าหรือได้รับสินค้าไม่ครบถ้วน คงให้การต่อสู้แต่เพียงว่าจำเลยทั้งสองไม่มีหนี้ค้างชำระค่าสินค้าแก่โจทก์ตามฟ้อง และอ้างรายละเอียดในทางปฏิบัติที่ผ่านมาเกี่ยวกับการขนส่งและวิธีการชำระเงินค่าสินค้าระหว่างกันว่า จำเลยทั้งสองจะใช้วิธีการโอนเงินผ่านทางธนาคารในแต่ละครั้งที่ได้รับสินค้าที่โจทก์ส่งมา หากจำเลยทั้งสองยังคงมีหนี้ค้างชำระโจทก์ตามฟ้องโจทก์คงไม่ขายและส่งสินค้าให้แก่จำเลยทั้งสองรอบต่อมาอย่างแน่นอน เมื่อตามคำให้การของจำเลยทั้งสองต่อสู้เพียงว่าจำเลยทั้งสองไม่มีหนี้ค้างชำระแก่โจทก์จึงต้องถือว่าจำเลยทั้งสองยอมรับตามข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าจำเลยที่ 1 สั่งซื้อและได้รับมอบสินค้าครบถ้วนตามจำนวนและราคาที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องแล้ว คดีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ส่งมอบสินค้าและจำเลยที่ 1 ได้รับมอบสินค้าครบถ้วนตามจำนวนที่โจทก์กล่าวอ้างหรือไม่
สัญญาซื้อขายเป็นสัญญาต่างตอบแทนเมื่อจำเลยที่ 1 ผู้ซื้อได้รับมอบสินค้าที่ตนได้ซื้อไว้แล้วก็ต้องใช้ราคาตามข้อสัญญาซื้อขายแก่โจทก์ผู้ขาย โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยที่ 1 ค้างชำระค่าสินค้าที่ได้รับจากโจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์เพียงบางส่วน การที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าไม่มีหนี้ค้างชำระแก่โจทก์ตามฟ้อง จำเลยทั้งสองจึงมีภาระการพิสูจน์ให้ได้ความตามข้ออ้าง
ที่มา : หนังสือรวมคำบรรยาย ภาคสอง สมัยที่ 71 ปีการศึกษา 2561 เล่มที่ 16