เลิกจ้างไม่จำเป็นต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งยินยอม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5737/2561
สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับบริษัทนายจ้างเป็นสัญญาที่ไม่มีกำหนดระยะเวลา ซึ่งการบอกเลิกสัญญาจ้างแรงงานที่ไม่มีกำหนดระยะเวลานั้น นายจ้างหรือลูกจ้างมีสิทธิแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาจ้างแรงงานได้แต่เพียงฝ่ายเดียวโดยไม่จำต้องให้มีอีกฝ่ายหนึ่งยินยอมตกลงหรืออนุมัติ แม้ตามสัญญาจ้างแรงงานระบุว่า ถ้าลูกจ้างจะประสงค์บอกเลิกสัญญาลูกจ้างต้องแจ้งเป็นหนังสือให้นายจ้างทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน และจำเลยจะอ้างว่าโจทก์ลาออกนั้นเป็นเพียงขั้นตอนและระเบียบปฎิบัติภายในของของบริษัทนายจ้าง ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงการแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาของโจทก์ได้ สัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับบริษัทนายจ้างจึงเป็นอันสิ้นสุดลงตามหนังสือขอลาออกของโจทก์ และโจทก์ไม่มีหน้าที่ที่จะต้องทำงานให้แก่บริษัทนายจ้างอีกต่อไป การที่จำเลยอ้างในอุทธรณ์ว่าโจทก์ขาดงานตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2558 เป็นต้นไปติดต่อกันเกิน 3 วัน บริษัทนายจ้างจึงพิจารณาเลิกจ้างโจทก์นั้น จึงหามีผลตามกฎหมายไม่เพราะสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับบริษัทนายจ้างได้สิ้นสุดลงไปก่อนหน้านั้นแล้ว จึงไม่อาจมีการบอกเลิกสัญญาได้อีก
ตามข้อบังคับกองทุนเฉพาะส่วนของบริษัทนายจ้างและข้อบังคับของกองทุนจำเลยดังกล่าวจะเข้ากรณีที่ยกเว้นไม่ต้องจ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบให้แก่ลูกจ้างที่เป็นสมาชิกของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเฉพาะในกรณีที่ลูกจ้างที่เป็นสมาชิกถูกไล่ออกหรือถูกนายจ้างเลิกจ้างเท่านั้น ไม่รวมถึงกรณีที่ลูกจ้างลาออกด้วย เมื่อสัญญาจ้างแรงงานระหว่างโจทก์กับบริษัทนายจ้างสิ้นสุดลงเพราะโจทก์มีหนังสือขอลาออกมิใช่เพราะโจทก์ถูกไล่ออกหรือถูกเลิกจ้าง ย่อมไม่เข้าข้อยกเว้นที่จำเลยไม่ต้องจ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบให้แก่โจทก์ แม้หลังจากที่โจทก์ลาออกจากบริษัทนายจ้างแล้ว โจทก์ไปทำงานที่บริษัท จ. ซึ่งประกอบธุรกิจประเภทเดียวกันและเป็นคู่แข่งทางการค้าโดยตรงกับบริษัทนายจ้างอันเป็นการผิดสัญญาจ้างแรงงาน ก็เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับบริษัทนายจ้าง โดยบริษัทนายจ้างต้องไปว่ากล่าวกันเองกับโจทก์อีกส่วนหนึ่งต่างหาก เมื่อโจทก์มิได้พ้นจากการเป็นลูกจ้างด้วยเหตุถูกบริษัทนายจ้างไล่ออกหรือเลิกจ้าง การที่จำเลยไม่จ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบให้แก่โจทก์จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยจ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบให้แก่โจทก์ได้