บทสัมภาษณ์นักสืบอำนวยพรในนิตยสาร THE TALK
ใน 100 รายซึ่งคนสงสัยว่าคู่รักของตนเองกำลังมีชู้ มี 99 ราย เป็นความจริง นักสืบเล่าเพราะมาจากครอบครัวที่แตกแยก ข้าพเจ้าจึงอ่อนไหวต่อประเด็นความไม่ซื่อสัตย์ระหว่างสามีภรรยา แม้ว่าครอบครัวข้าพเจ้าไม่ได้แตกแยกไปเนื่องจากเหตุการณ์นี้โดยเฉพาะ ความไม่ซื่อสัตย์มักเป็นประเด็นร้อนเสมอในบ้านของข้าพเจ้า โดยมีแม่เป็นคนสั่งสอนในประเด็นดังกล่าว แต่แย่ไปกว่านั้น เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดาสามัญในครอบครัวที่ขยายออกไปของข้าพเจ้า: ปู่มีความสุขกับการมีภรรยาสี่คน แน่นอนว่าย่าเป็นคนหนึ่งในจำนวนนั้น มีบทเรียนหนึ่งจากคำพูดของแม่ของดิฉัน: มนุษย์(ผู้ชาย)ไว้ใจไม่ได้เด็ดขาด
แนวคิดนี้ได้รับการแบ่งปันสนับสนุนโดยคุณอำนวยพร มณีวรรณ นักสืบเอกชนหญิง ผู้ซึ่งได้ใช้อาชีพในการเป็นนักสืบเอกชนในการสืบเรื่องราวเกี่ยวกับชู้สาว ถึงขนาดได้เคยตีพิมพ์หนังสือสองเล่มในประเด็นดังกล่าว และหากมีเรื่องราวใดซึ่งเธอได้เรียนรู้จากระยะเวลา 14 ปี ในธุรกิจดังกล่าว คงจะเป็นว่า มนุษย์(ผู้ชาย) โดยทั่วไปแล้วไม่น่าไว้วางใจ – เหตุผลหนึ่งซึ่งเธอยังคงเป็นโสด
ข้าพเจ้าได้ยินชื่ออำนวยพรจากเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ซึ่งจ้างนักสืบให้คอยจับตาดูพ่อของเธอ (และภรรยาน้อย) ข้าพเจ้านัดหมายขอพบกับเธอที่สำนักงาน ที่อายุ 42 หัวหน้าแผนกสืบสวนยังดูสาวอยู่อย่างน่าแปลกใจสำหรับอายุของเธอ ผิวขาว แต่งหน้าบ้างเล็กน้อยและแต่งตัวอย่างไม่เป็นทางการ อำนวยพรสดใส ช่างคุย และพูดจาเปิดเผย และมากกว่าเต็มใจที่จะเล่าเรื่องสู่กันฟังเรื่องราวเกี่ยวกับการสืบพฤติกรรมชู้สาว จากประสบการณ์งานบริการลูกค้าจำนวนหลายร้อยไม่ว่าชายหญิงหนุ่มหรือแก่ ที่เธอได้ผ่านมา
กรณีแรกของอำนวยพรในการสืบสวนเกี่ยวข้องกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งต้องการรวบรวมพยานหลักฐานต่อภรรยานอกใจของเขาเพื่อยื่นเรื่องขอหย่าต่อศาล ถึงแม้อำนวยมีพื้นฐานการทำงานในคดีอาญาและคดีแพ่งต่าง ๆ เธอปฏิเสธต่อผู้ต้องการเป็นลูกค้าในอนาคตดังกล่าว เนื่องจากรู้สึกไม่สบายใจต่อลักษณะของงาน แต่ลูกค้ายังคงยืนกรานต่อการร้องขอของตนเอง ในท้ายที่สุด อำนวยพรตกลงรับเรื่องการสืบสวนเอาไว้และใช้เงินล่วงทั้งหมดจ่ายเป็นค่ากล้องวิดิโอเครื่องแรกของสำนักงานของเธอ ครั้นแล้วด้วยความช่วยเหลือของลูกค้า ตำรวจนายหนึ่ง และบ๋อยโรงแรมซึ่งไม่ได้มีความสงสัยต่อเธอ (และเพื่อให้บ๋อยเปิดประตูห้องให้ อำนวยพรบอกบ๋อยว่าคู่หญิงชายนั้นเป็นผู้ต้องสงสัยเกี่ยวกับยาเสพติด) อำนวยพรสามารถถ่ายภาพภรรยาและคู่รักของเธอได้คาหนังคาเขา (และล่อนจ้อน) – ซึ่งเป็นภาพน่าตื่นเต้นเช่นกันที่ได้เห็น อำนวยพรกล่าว
นอกจากนี้ยังมีประสบการณ์แรกซึ่งเป็นเรื่องราวซึ่งบีบสารความตื่นเต้นอดรีนาลีนแรกของเธอซึ่งได้รับการเปิดเผยในฐานะเป็นนักสืบเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ภรรยาคว้าผ้าห่มผืนหนึ่งปิดบังตัวเองและวิ่งเข้าไปหลบในห้องน้ำ ชู้รักของภรรยากระโดดไปที่ประตู พยายามไม่ให้ใครเข้ามาในห้อง เมื่อเข้ามาในห้องได้ สามีเคาะประตูเบาๆ ขอให้ภรรยาออกมาคุยกัน ส่วนภรรยาในห้องน้ำกลับร้องเสียงดังเหมือนคนคลั่งใส่สามีของ ราวกับว่ามันเป็นความผิดของเขาสำหรับการล่วงล้ำเข้ามาในห้อง ชู้รักชายของเธอพยายามตีศรีษะอำนวยพรด้วยขวด แต่ถูกหยุดไว้โดยตำรวจ ด้วยความโกรธ (และอาจทั้งเข้าใจผิดอำนวยพรว่าเป็นนักข่าว) ภรรยาพยายามกระชากกล้องไปจากไหล่ของนักสืบ จนตกลงไปที่พื้น และศรีษะของอำนวยพรกระแทก โดยอัตโนมัติอำนวยพรตบภรรยา “ตำรวจเข้าใจเป็นว่า ภรรยาหลวงและภรรยาน้อยกำลังตบตีกัน” อำนวยพรเล่า ยังคง อับอายต่อปฏิกิริยาของเธอ “แต่ไม่ใช่นะ ฉันเป็นนักสืบและภรรยาก็เป็นเป้าหมายที่ฉันกำลังติดตาม”
ความจริงแล้ว ครั้งหนึ่งอำนวยพรเคยฝันว่าจะโตขึ้นมาเป็นนักข่าว “ฉันต้องการเป็นนักข่าว ฉันคิดว่าการได้สัมภาษณ์คนเป็นเรื่องที่เท่มาก” เธอกล่าว อำนวยพร ให้รายการความคล้ายคลึงกันระหว่างนักข่าวและนักสืบเอกชน – ทั้งคู่พยามที่จะได้ข้อมูลมาให้ได้ พิสูจน์ความจริงและรวบรวมพยานหลักฐานทางการเห็น แต่ขณะที่นักข่าวโดยทั่วไปแล้วเป็นการเข้าถึงโดยการสัมภาษณ์กับความโปร่งใสบางระดับ นักสืบเอกชนจำเป็นต้องละเอียดอ่อนมากกว่า ในบางกรณี นักสืบเอกชนได้ข้อมูลเชิงลึกมากกว่า – รวมทั้งข้อมูลซึ่งเป็นความลับมากกว่า (และเป็นส่วนตัวมากกว่าด้วย) มากกว่าที่นักข่าวได้รับ
“นักสืบเอกชนรู้มากกว่าเนื่องจากมีลูกค้าทุกชนิดด้วยกัน จากคนซึ่งมียศต่ำไปจนถึงคนซึ่งมียศสูง ดังเช่นคนสังคมสูงหรือแม้แต่รัฐมนตรี” อำนวยพรกล่าว “เรารู้ว่าพวกเขาทำอะไรเพราะเราได้ข้อมูลมาจากผู้คนซึ่งรู้จักพวกเขา หรือจากการติดตามพวกเขาโดยตรง แต่เราไม่สามารถเอาไปบอกให้คนอื่นรู้ได้ นักสืบเอกชนต้องมีความสามารถในการรักษาความลับต่าง ๆ เอาไว้”
บรรดาลูกค้าของอำนวยพรไม่ค่อยเสียใจในการใช้เงินเป็นค่าบริการของเธอ (เพื่อนของข้าพเจ้าและครอบครัวของเธอ ใช้จ่ายเงินจำนวนหลายแสนบาทในการจ่ายค่าจ้างเธอ) แม้ในกรณีซึ่งเธอไม่สามารถระบุภรรยาน้อยของสามี สำหรับลูกค้าหลายคน เพียงแต่สามารถแบ่งปันความขมขื่นเจ็บปวดของพวกเขากับคนที่ไว้วางใจได้สักคนก็พอเพียงแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาต้องการที่จะปกป้องชื่อเสียงวงศ์ตระกูลตนเอง อำนวยพรเปรียบเทียบอาชีพของเธอกับอาชีพอายุรแพทย์ ผู้ป่วยไว้วางใจความเจ็บปวดของตนเองแก่เธอ เพื่อเป็นการตอบแทน เธอเสนอการแก้ไขคลี่คลายซึ่งแตกต่างออกไปขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ป่วยแต่ละคน
ไม่ช้าหลังจากอาชีพใหม่ของเธอเป็นนักสืบเริ่มต้น อำนวยพรเริ่มต้นศึกษาไปสู่ปริญญาทางกฎหมายเพื่อที่เธอจะสามารถให้คำแนะนำทางกฎหมายนอกเหนือไปจากการเป็นนักสืบทั่วไป (เธอมีปริญญาด้านบัญชีอยู่แล้ว) ลูกค้าส่วนมากของเธอไม่รู้ว่าพวกเขามีสิทธิทางกฎหมายที่จะฟ้องร้องต่อคู่รักที่หลอกลวงตนเองสำหรับความเสียหายต่างๆ – ซึ่งถือเป็นการแก้แค้นซึ่ง “ถูกต้องตามกฎหมาย” วิธีหนึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อปรับปรุงทักษะต่าง ๆของเธอให้ดีขึ้นกว่าเดิม อำนวยพรได้รับการฝึกอบรมด้านการงานสืบและป้องกันอาชญากรรมจากนาวิกโยธินชาวอังกฤษผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นตัวแทนบริษัทอังกฤษบริษัทหนึ่งซึ่งต้องการเป็นหุ้นส่วนกับเดชาแอนด์ไอบีเอส “เช่นกัน ดิฉันเรียนรู้จากภาพยนตร์” อำนวยพรกล่าว “ภาพยนตร์เกี่ยวกับนับสืบสามารถช่วยได้มาก แต่เจสัน บอร์น ช่วยมากไม่ได้ เพราะว่าดิฉันไม่มีเครื่องมืออุปกรณ์ชนิดที่เขามี”
งานอาชีพของอำนวยพรรุ่งเรืองสุด ๆ ในปี 2003 หลังจากที่เธอออกรายการการทีวี หนังสือพิมพ์ และนิตยสารต่าง ๆ ระหว่างปีนั้น เธอตีพิมพ์หนังสือของเธอเองเล่มหนึ่งขึ้นมาในชุดนักสืบเอกชน (ชื่อเรื่องว่า “เขาสั่งให้ฉันสืบเรื่องชู้สาว”)
แต่ไม่เป็นการยากลำบากที่จะทำงานด้วยชื่อเสียงเช่นนั้นและการเป็นคนซึ่งคนรู้จักหรือ? “ไม่หรอก เพราะดิฉันไม่ได้ทำงานคนเดียว” เธอตอบ “ดิฉันทำงานเป็นทีม มีกรณีซึ่งแม้แต่เป้าหมายซึ่งดิฉันสืบมาหาฉันและขอลายเซ็นต์เพื่อเป็นที่ระลึก กล่าวว่าเธอเป็นแฟนหนังสือคนหนึ่ง เธอไม่ได้รู้ความจริงด้วยซ้ำไปว่าฉันเคยสืบเรื่องราวของเธอเอง!”
ปกติแล้ว ทีมงานสืบดิฉันประกอบด้วยสมาชิกทีมสามคน ซึ่งใช้วิธีติดตามเจ้าตัวโดยรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ หรือ เดินเท้าไป” บางครั้งอำนวยพรอนุญาตให้เพื่อนๆ ของเธอ “ทำตัว” เป็นนักสืบในงานบางอย่าง
หนังสือเล่มแรกเกี่ยวกับงานนักสืบเอกชน แนะนำตัวอำนวยพร มณีวรรณ เป็นนักสืบเอกชนและเล่าเรื่องสนุกสนาน ท้าทาย และแปลกๆ รวมทั้งเรื่องหนึ่งซึ่งเธอแปลงตัวเป็นคนอินเดียนอเมริกัน (อินเดียนแดง?)เพื่อล้ม/เข้าจู่โจมงานเลี้ยงงานหนึ่ง ในกรณีหนึ่งเธอปลอมตัวเป็นแม่ค้าส้มตำ ในอีกกรณีหนึ่งเธอได้รับการร้องขอโดยเด็กหญิงอายุ 14 ปี ให้ติดตามแฟนเพื่อนชายของเธออายุ 15 ปี หลังจากที่เขาย้ายไปเรียนโรงเรียนใหม่ สำหรับเรื่องนี้ นักสืบเอกชนเพียงแต่สั่งสอนเด็กหญิงเสียยืดยาวในเรื่องความรักและความสัมพันธ์ก่อนที่จะบอกปฏิเสธไม่รับงานของเธอ
บทสุดท้ายในหนังสือให้ข้อเสนอแนะซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับการตัดสินใจว่าคู่รักของท่านกำลังมีชู้อยู่หรือไม่ ว่าเขาหรือเธอเริ่มต้นปฏิบัติแปลกแตกต่างออกไปหรือไม่? อยู่ดี ๆ ก็เกิดดีขึ้นมาน่าใจหาย? บางครั้งก็ใจเหม่อลอยหรือกระตือรือร้นขึ้นมาโดยไม่มีเหตุ หรือ? เธอได้เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์หรือไม่? อยู่ ๆ ก็หายตัวไปไร้ร่องรอยแบบ “นินจา” และเกิดไม่สามารถติดต่อได้ขึ้นมาฉับพลันทันใดหรือไม่? เคยบ่นเกี่ยวกับความเบื่อหรือไม่? เคยอ้างว่าต้องไปประชุมนอกเมืองหรือไม่? ไปซ้อมดนตรีกลางคืนดึกๆหรือเปล่า หรือว่ามีเรื่องราวที่ต้องทำมากมายที่โรงเรียนหรือเปล่า? หรือเกิดโกรธหรือโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงเมื่อถูกล้อเล่นเกี่ยวกับการเล่นชู้หรือไม่? อะไรทำนองนี้
ความรู้สึกซึ่งเป็นสัญชาติญาณเป็นเครื่องมือใกล้ชิดมากที่สุดซึ่งมนุษย์สามารถนำมาใช้ได้ ใน 100 กรณีของผู้ซึ่งสงสัยว่าคนรักของตนเองกำลังนอกใจ อำนวยพรบอกว่า 99 มักถูกต้อง ก่อนรับเรื่องราวใด ๆ นักสืบเอกชนพยายามเรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่สามารถทำได้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ : ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นอย่างไร ทำไมจึงเชื่อว่าคู่รักของตนไม่ซื่อสัตย์ ทั้งคู่ยังรักคู่รักของตนเองอยู่หรือไม่ และผลเช่นใดที่พวกเขาคาดหวังว่าจะให้เกิดขึ้น ระหว่างการสนทนานี้ บางครั้งเธอตัดสินใจว่าจริง ๆ แล้วปัญหาอยู่ที่ลูกค้าของเธอ ตัวอย่าง ในกรณีหนึ่งเมื่อเร็ว ๆ มานี้ ภรรยาคนหนึ่งจู้จี้จับผิดสามีของเธอเกี่ยวกับเรื่องราวทุกอย่างซึ่งทำให้บ้านของพวกเขาไม่ได้เป็นสถานที่ซึ่งน่ายินดีอีกต่อไป ภรรยาดังกล่าวกำลังขับไล่สามีตนเองให้ห่างออกไปโดยที่ตัวเธอเองก็ไม่รู้ตัว
มีคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับอีกหนึ่งเปอร์เซ็นต์ในความรู้สึกสงสัยซึ่งไม่เป็นความจริง? จริง ๆ นั้น ผู้ชายบางคนออกไปเที่ยวเตร่กับเพื่อนหรือไม่ก็อยู่ที่ทำงาน ในกรณีเหล่านี้ ผลการค้นพบดูไม่เป็นที่น่าเชื่อถือต่อภรรยาจนกระทั่งพวกเธอได้ข้อมูลเพิ่มเติม “ภรรยาบางคนคิดมากเกินไป” อำนวยพรตั้งข้อสังเกต “อาจมีปัญหาบางอย่างในบ้านซึ่งทำให้ภรรยาคิดเช่นนั้น แต่มีผู้ชายบางคนที่ดีมาก ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นคนซึ่งทำงานหนักเอามาก ๆ” ข้าพเจาถามว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อเธอแสดงพยานหลักฐานที่สามารถเห็นได้ด้วยตาของสามีของพวกเธอพร้อมกันกับวันที่และเวลา “เป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้พวกเธอเชื่อ” ภรรยาบางคนคิดมากและพวกเธอชอบคิดว่าสามีของตนเองเป็น “ตัวแสบ”
เมื่อถูกถามว่าเรื่องไหนประทับใจเธอมาก อำนวยพรหยุดชั่วขณะ น่าจะคล้ายกับเธอกำลังค้นหาสำหรับคำอธิบายที่ถูกต้อง ดูเหมือนเธอไม่ได้พยายามที่จะให้ถูกต้องทางการเมือง แต่ค่อนข้างเป็นว่าเธอไม่รู้ว่าจะแสดงวามคิดเห็นของเธออย่างไรเกี่ยวกับการทำงานในเรื่องราวซึ่งเป็นมีหลายเรื่องซึ่งเป็นเรื่องภัยพิบัติของคนอื่น ตอนท้ายในหนังสือของเธอเล่มหนึ่ง เธอแสดงความเศร้าใจเกี่ยวกับความไม่ซื่อสัตย์ต่อกันและเสียใจในความสูงส่งของคุณค่าครอบครัวในประเทศไทย แต่เธอบอกข้าพเจ้าว่าสนุกสนานในการเป็นนักสืบเอกชน ถ้าไม่งั้นก็ไม่ทำ เมื่อเรื่องแต่ละเรื่องคลี่คลาย เธอรู้สึกพอใจ แต่คำว่า “ประทับใจ” ยังไม่ใช่คำที่ถูกต้อง แต่ค่อนข้างจะเป็น “หดหู่” เธอกล่าว
“ดิฉันเห็นผู้ชายหลายคนทำลายครอบครัวของตนเองโดยมีหญิงอื่น” อำนวยพรกล่าว “ดิฉันจะไม่ว่าอะไรหากพวกเขาไม่ซื่อสัตย์ แต่พวกเขาควรดูแลครอบครัวของพวกเขาและไม่ละทิ้งลูก ๆ ให้อยู่ในความยากจน นี่คือเมื่อดิฉันคิดว่าพวกเขาทำผิด ดิฉันรู้สึกแย่จริง ๆ และลดราคาค่าบริการให้มากเท่าที่จะทำได้เพียงเพื่อดิฉันต้องการช่วยพวกเขา”
“เมื่อใครบางคนอยู่ในความเศร้าโศกเสียใจมาก น้ำหนักตัวสามารถลดลงจาก 80 กก. เหลือ 50 กก. ในเวลาแค่สองเดือน คุณเชื่อไหม? และพวกเขามาหาดิฉันอุ้มลูกๆ มาด้วย ดิฉันต้องถาม “เป็นไปได้หรือที่ผู้ชายทำแบบนี้? และดิฉันพบว่าผู้ชายบางคนได้ทำเช่นนั้น ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าหดหู่ดังที่บอก”
และกับบางกรณี เรื่องราวซึ่งเป็นเรื่องเศร้าภัยพิบัติติดตามมา อำนวยพรนึกถึงเรื่องของลูกค้าหญิงคนหนึ่งซึ่งไม่มีลูกของตนเอง แต่ทราบว่าสามีของเธอไม่เพียงโกหกเกี่ยวกับเรื่องมีภรรยาน้อย แต่ยังมีลูกคนหนึ่งกับภรรยาน้อย ในวันซึ่งหลังจากอำนวยพรรายงานความจริงแก่ลูกค้า หนังสือพิมพ์ในวันถัดไปลงข่าวหน้าหนึ่งรายละเอียดซึ่งลูกค้าของเธอได้ยิงสามีเธอตายและแล้วก็ฆ่าตัวตายตามไปด้วย “ดิฉันสั่น ดิฉันเฝ้าถามตัวเองว่าเป็นความผิดของดิฉันหรือเปล่า” อำนวยพรพูด
ในเหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่ง ลูกค้าหญิงคนหนึ่งไล่ตามสามีของเธอและผู้หญิงอีกคนหนึ่งในรถอีกคันหนึ่ง ยิงปืนใส่ทั้งสองคน “ดิฉันได้ยินทุกอย่างจากโทรศัพท์” ลูกค้าของดิฉันลืมปิดโทรศัพท์ ดิฉันคิดว่า “พวกเขากำลังจะตาย! พวกเขากำลังจะตาย! พวกเขากำลังจะตายแน่นอน!” แต่โชคยังดี รถสองคันชนกันเสียหายยับเยินหลังจากลูกค้าชนรถของภรรยาน้อย ลูกค้าต้องการหยุดสามีและภรรยาน้อยไม่ให้หนีไป”
ไม่ใช่ทุกเรื่องทุกเรื่องจบลงอย่างไม่ดีเสมอ “มีหลายเรื่องซึ่งดิฉันสามารถใช้คำว่า “ประทับใจ” ได้” เธอกล่าวทันใด “มีผู้ชายซึ่งไปแอบมีชู้แต่กลับมาหาภรรยาของตน ทั้งคู่คืนดีกันและอยู่ด้วยกันต่อไป เมื่อภรรยารู้เรื่อง ทั้งคู่นั่งลงและคุยกับสามีของตนเองเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ฝ่ายชายเสียใจในสิ่งที่ตนเองทำและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใหม่ พวกเขาไม่รู้ว่าภรรยาได้จ้างนักสืบเอกชนให้ติดตามพวกเขา ดิฉันได้รับข้อความอีเมล์จำนวนมาก ขอบคุณดิฉันสำหรับช่วยเหลือพวกเธอ และทำให้ครอบครัวของพวกเธอกลับมามีความสุขอีกครั้ง พวกเขายังอยู่ด้วยกันและไม่ได้มีการหย่าร้าง”
ซึ่งนี่คือเมื่องานของอำนวยพร เป็นงานซึ่งมีผลตอบแทนเป็นรางวัลซึ่งมากที่สุด ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นเช่นนั้น