งานเผยแพร่ความรู้ทางด้าน กฎหมาย การบริหารการจัดการหนี้สินในองค์กรภาครัฐและภาคเอกชน การฝึกอบรมสัมมนาพัฒนาบุคลากร ในการประกอบธุรกิจ หากหน่วยงานของรัฐ บริษัทห้างร้าน มีความสนใจ เชิญทีมงานไปฝึกอบรมสัมมนาหรือต้องการข้อมูลข่าวสาร ติดต่อได้ที่ 02-948-5700 อ่านต่อ
ท่านใดที่สนใจเกี่ยวกับหลักสูตรฝึกอบรมการติดตามหนี้ ทวงหนี้อย่างไรให้ได้ผล ได้เงิน รักษาภาพลักษณ์ รักษาลูกค้า/หลักสูตรการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตภายในองค์กร/หลักสูตรกฎหมายแรงงาน สำหรับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลหรือผู้บริหารบริษัท สนใจโทร.02-9485700 อ่านต่อ
สืบทุกเรื่องที่คุณอยากรู้ มีเรื่องคาใจอยากรู้ความจริง โทรมาคุยกับกุ้งได้ที่ 081-625-2161หรือ 089-669-5026 "อย่าปล่อยให้มีเรื่องคาใจ อะไรที่ไม่สบายใจ ต้องหาทางปลดปล่อย สืบให้รู้ความจริง จะได้จบสิ้นกันเสียที สำหรับความทุกข์ที่คาใจมาเป็นเวลานาน อย่าปล่อยให้คนนอกใจลอยนวล" อ่านต่อ
รับแปลเอกสารต่างๆ อ่านต่อ
หมัดเด็ดลูกหนี้สวนกลับเจ้าหนี้
ผมทนายเดชา กิตติวิทยานันท์
ขอเสนอหมัดเด็ดในการสวนกลับลูกหนี้ หรือยกขึ้นมาสู้กับลูกหนี้
ใครอยากจะเอาไปใช้ก็เชิญ เพื่อปกป้องสิทธิของลูกหนี้โดยชอบด้วยกฎหมาย
แต่อย่าลืมว่าเป็นหนี้ต้องใช้หนี้คือ ตรรกที่ต้องทราบไว้ก่อน
ผมไม่เห็นด้วยกับการทวงหนี้ที่ผิดกฎหมาย และการเอาเปรียบลูกหนี้
แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยที่ลูกหนี้จะโกงเจ้าหนี้ คุณต้องจำคำนี้ไว้ด้วย
หมัดเด็ดที่จะใช้สวนกลับเจ้าหนี้มีดังต่อไปนี้
1. เจ้าหนี้เอาหนี้เดิมหรือดอกเบี้ยมารวมเข้าด้วยกันเป็นหนี้ใหม่
- สัญญากู้สมบูรณ์ตามกฎหมาย และถือว่าลูกหนี้ได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้แล้ว
แต่ส่วนที่เป็นดอกเบี้ยเกินอัตราและส่วนที่มีการคิดดอกเบี้ยที่มีการทบต้น
ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 113 , 654 , 655
ส่วนเงินต้นยังคงสมบูรณ์อยู่ ลูกหนี้ยังคงต้องรับผิดในต้นเงิน (ฎีกาที่
2004/2523 ,ฎีกาที่ 2917/2523,
ฎีกาที่ 3236/2533, ฎีกาที่ 2657/2534)
ยกเว้นว่าไม่สามารถแยกดอกเบี้ยที่เป็นโมฆะออกจากต้นเงินได้
ถ้าแยกไม่ได้ศาลยกฟ้อง (ฎีกา 2147/2535)
2. ถ้าเจ้าหนี้ทำสัญญากู้
โดยเอาดอกเบี้ยคิดล่วงหน้าและเป็นดอกเบี้ยที่คิดเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด
ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา
พ.ศ. 2535 ดอกเบี้ยที่เกินอัตราตกเป็นโมฆะทั้งสิ้น แต่เงินต้นลูกหนี้ต้องมีหน้าที่ต้องชำระให้กับเจ้าหนี้(ฎีกา
1913/2537)
3. ถ้าเจ้าหนี้ทำสัญญากู้กับลูกหนี้
2 ครั้ง แต่มีการคำนวณจำนวนดอกเบี้ยผิดพลาดไปบ้างเล็ก ๆ น้อย
ๆ
โดยไม่มีการหักยอดเงินที่เคยชำระไปแล้ว
สัญญากู้ยังคงมีผลบังคับใช้ได้
ลูกหนี้ยังคงมีหน้าที่ตามกฎหมายจะต้องชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ตามจำนวนที่ค้างชำระจริง(ฎีกาที่
1846/2519)
4. อายุความที่เจ้าหนี้ต้องฟ้องร้องดำเนินคดีกับลูกหนี้
ในการเรียกต้นเงินคืนให้มีกำหนด 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30
หากเกินกำหนดลูกหนี้มีสิทธิปฏิเสธไม่ชำระหนี้ได้
5. อายุความที่เจ้าหนี้ฟ้องเรียกดอกเบี้ยค้างชำระคืนกับลูกหนี้
เป็นไปตาม ป.พ.พ.มาตรา
193/33(1) กฎหมายกำหนดให้ต้องฟ้องเรียกดอกเบี้ยภายใน 5 ปี
นับแต่วันผิดนัด ส่วนดอกเบี้ยที่ลูกหนี้ค้างชำระเกิน 5 ปี
ขาดอายุความ (ฎีกา 3212/2532)
6. อายุความที่เจ้าหนี้สามารถฟ้องเรียกเงินจากลูกหนี้ในคดีที่เกี่ยวกับการที่ลูกหนี้ต้องผ่อนเงินคืนเป็นงวด
ๆ
เจ้าหนี้ต้องดำเนินคดีภายใน 5 ปี
นับแต่วันที่ครบกำหนดที่ลูกหนี้ต้องชำระในแต่ละงวด ตาม ป.พ.พ.
มาตรา 193/33(2) (ฎีกา 2075/2540)
7. เจ้าหนี้ที่ไม่ใช่สถาบันการเงินถ้าคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้
มีความผิดฐานเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ตาม พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ดอกเบี้ยที่เจ้าหนี้เรียกจากลูกหนี้
ถ้ามิได้กำหนดไว้ในสัญญากู้ ให้เรียกได้ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ป.พ.พ.มาตรา 654 เจ้าหนี้เรียกดอกเบี้ยจากลูกหนี้ได้ไม่เกินร้อยละ
15 ต่อปี
ถ้าเกินกว่านั้นให้ลดดอกเบี้ยเหลือเพียงร้อยละ 15 ต่อปี
8. ลูกหนี้ชำระดอกเบี้ยผิดกฎหมายให้กับเจ้าหนี้
ถือว่าเป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจ
โดยรู้อยู่แล้ว่าตนไม่มีความผูกพันต้องชำระ
ลูกหนี้ไม่มีสิทธิยกขึ้นต่อสู้คดีเพื่อให้หลุดพ้นจากการรับผิดชำระหนี้ (ฎีกา 1565/2524) และลูกหนี้จะนำเงินที่ชำระไปแล้วไปหักออกจากดอกเบี้ยตามกฎหมายหรือหักจากยอดเงินต้นที่ค้างชำระไม่ได้
(ฎีกาที่ 99/2515,4133/2529,99/2531,533/2532)
9. ดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินเรียกจากลูกหนี้ได้
เป็นไปตามมาตรา 14 แห่ง พ.ร.บ.ธนาคารพาณิชย์
2505
สถาบันการเงินจะต้องนำสืบถึงกฎหมายดังกล่าวและประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งกำหนดให้สถาบันการเงินถือปฏิบัติเกี่ยวกับการเรียกดอกเบี้ยหรือส่วนลดได้ไม่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้
และ พ.ร.บ.ดอกเบี้ยเงินให้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523 มาตรา
3 (คิดดอกเบี้ยได้สูงกว่าร้อยละ 15 ต่อปี),
มาตรา 4 วรรค 2 และ 3 สถาบันการเงินจะต้องนำสืบในชั้นศาล
หากไม่นำสืบ สถาบันการเงินไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากลูกหนี้
โดยอาศัยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย (ฎีกา 4351/2532) สถาบันการเงินคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยและเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด
ขัดต่อ พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 ดอกเบี้ยที่คิดเกินทั้งหมดจึงตกเป็นโมฆะ
(ฎีกาที่ 956/2541)
10. สถาบันการเงินมีการเปลี่ยนแปลงดอกเบี้ยแต่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เคยให้ไว้กับลูกหนี้
เช่น
ไม่เคยแจ้งให้ลูกหนี้ทราบในการขึ้นอัตราดอกเบี้ย
สถาบันการเงินไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวจากลูกหนี้(ฎีกาที่ 4365/2539, ฎีกา
7287/2539)
11. ดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินเพิ่มขึ้น
จากดอกเบี้ยปกติถือเป็นเบี้ยปรับ
ตาม ป.พ.พ.มาตรา 379
ถ้าสูงเกินควร ศาลสามารถใช้ดุลยพินิจลดดอกเบี้ยดังกล่าวลงได้ตามสมควร ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรค 1 (ฎีกา 3414/2541)
12. เจ้าหนี้ห้ามคิดดอกเบี้ยทบต้น
ตาม ป.พ.พ.มาตรา 654 ยกเว้นคู่สัญญาตกลงเอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระ
ถึงแม้จะค้างชำระไม่ครบ 1 ปี มาทบต้น
แต่การตกลงเช่นนั้นต้องทำเป็นหนังสือ (ฎีกาที่ 2518/2530)
13. สิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความ
ลูกหนี้มีสิทธิปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 193/10 ดังนั้นถ้าเจ้าหนี้ฟ้องคดีเงินกู้เกิน 10 ปี ลูกหนี้ก็มีสิทธิปฏิเสธที่จะชำระหนี้
14. ถ้าสัญญากู้มีข้อตกลงที่ลูกหนี้เสียเปรียบผู้ให้กู้อย่างมากและไม่เป็นธรรมและสัญญากู้ทำหลังวันที่
15
พฤษภาคม 2541 ลูกหนี้สามารถใช้สิทธิตาม พ.ร.บ.ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม
พ.ศ. 2540 ซึ่งมีผลบังคับเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2541 ขอยกเลิกข้อตกลงดังกล่าวได้
15. การเป็นหนี้ตามสัญญากู้หรือบัตรเครดิตหรือบัตรเงินผ่อนหรือสัญญาเช่าซื้อหรือสัญญาค้ำประกัน
เป็นมูลหนี้ทางแพ่ง
เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิดำเนินคดีอาญากับลูกหนี้
16. การหักเงินเดือนหลังจากศาลมีคำพิพากษาในกรณีที่ลูกหนี้ค้างชำระหนี้
โดยหลักกรมบังคับคดีจะหักเงินในอัตราร้อยละ 30 ของเงินเดือน โบนัสในอัตราร้อยละ 50 สิทธิของลูกหนี้สามารถยื่นคำร้องต่อศาลลดยอดเงินการหักชำระทั้งเงินเดือนและโบนัสเหลือเพียงในอัตราร้อยละ
15 ต่อปี หรือน้อยกว่านั้น หากมีพยานหลักฐานแสดงว่ามีหนี้สินค้างชำระเป็นจำนวนมาก
และเงินที่เหลือจากการหักไม่เพียงพอในการดำรงชีพของลูกหนี้
17. การทวงหนี้โดยใช้วีธีการดังต่อไปนี้ ถือว่าเป็นวิธีการที่มิชอบด้วยกฎหมาย
- ด่าพ่อแม่หรือญาติพี่น้องของลูกหนี้
หรือโทรศัพท์ก่อกวนไปยังบุคคลภายนอกหรือสำนักงานที่ทำการของลูกหนี้หรือเพื่อนฝูง
หรือผู้ใหญ่บ้านกำนัน
- การประจานลูกหนี้ เช่น
การประกาศออกเสียงตามสายโดยใช้ผู้ใหญ่บ้านหรือกำนันหรือผู้นำชุมชน หรือประจานในตลาด
หรือแจ้งให้คนข้างบ้านทราบ
- พูดจาหยาบคาย ดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาท หรือข่มขืนใจ หรือข่มขู่
- การส่งคนมาเฝ้าบริเวณบ้านหรือสำนักงาน หรือการสะกดรอย
- โทรศัพท์รบกวนตลอดเวลาทั้งวัน ทั้งทางโทรศัพท์มือถือและบ้านหรือที่ทำงาน
- การส่งแฟ็กซ์ประจานหรือการติดประกาศตามเสาไฟฟ้า
หรือการแจกใบปลิวเพื่อปะจานลูกหนี้
- หากเจ้าหนี้หรือบริษัททวงหนี้กระทำการดังที่ผมกราบเรียนมาข้างต้นให้แจ้งความดำเนินคดีทางอาญาหรือฟ้องร้องทางแพ่งหรือร้องเรียนไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย
หรือ สคบ. หรือคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติหรือสภาทนายความ
หรือกระทรวงยุติธรรม หรือทนายคลายทุกข์
ผมหวังว่าสิ่งที่ผมกราบเรียนมาข้างต้นจะเป็นประโยชน์ต่อลูกหนี้ทุกคนไม่มากก็น้อย
ในการที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิของลูกหนี้ ตามครรลองของกฎหมาย เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของลูกหนี้
ลูกหนี้ก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน และมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่ใครก็ได้จะมาย่ำยีได้
ขอให้โชคดี
ด้วยความจริงใจ
อ.เดชา กิตติวิทยานันท์
วิทยากรประจำรายการทนายคลายทุกข์