คำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจเกี่ยวกับการฟ้องชู้ เรียกค่าทดแทน
1. คำพิพากษาฎีกา 320/2530
การล่วงเกินในทำนองชู้สาวตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคสอง มีความหมายรวมถึงการทำด้วยสิทธิเรียกค่าทดแทนนี้มิได้มีเงื่อนไขว่า สามีจะต้องฟ้องหย่าภริยาในทำนองชู้สาวได้ และค่าทดแทน ในกรณีนี้เป็นค่าเสียหายอย่างหนึ่งที่ชายชู้ต้องรับผิด ศาลมีอำนาจกำหนดให้ตามฐานานุรูปแห่งผู้ต้องได้รับความเสียหาย ซึ่งต้องรวมถึงความเสียหายแก่ชื่อเสียงและเกียรติคุณของโจทก์ด้วย
โจทก์ฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลยอ้างว่า จำเลยเป็นชู้กับ น.ผู้ตายซึ่งเป็นภริยาโจทก์ จำเลยให้การต่อสู้ข้อหนึ่งว่าหาก น. เป็นภริยาโจทก์ โจทก์ก็รู้เห็นเป็นใจให้ภริยามีชู้ ดังนี้ ประเด็นที่ว่าโจทก์รู้เห็นเป็นใจให้จำเลยเป็นชู้กับผู้ตายนั้น ภาระการพิสูจน์ตกแก่จำเลย
2. คำพิพากษาฎีกาที่ 4014/2530
การที่จำเลยมีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับสามีโจทก์จนถึงขั้นสามีโจทก์ให้โจทก์ยอมรับจำเลยเป็นภรรยาน้อย มิฉะนั้น จะทิ้งโจทก์ และจำเลยตบหน้าสามีโจทก์ในร้านอาหาร เพราะความหึงหวงต่อหน้าโจทก์ ทั้งสามีโจทก์และจำเลยยังได้ร่วมกันกู้เงินจากธนาคารมาสร้างหอพักในที่ดินของจำเลย และมีผู้รู้เห็นว่าสามีโจทก์ได้มาหาและพักนอนอยู่ที่บ้านจำเลยหลายครั้ง เช่นนี้ พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่า จำเลยได้แสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวกับสามีโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลยได้ตามมาตรา 1523 วรรคสอง แต่คำขอของโจทก์ที่ขอให้จำเลยระงับการมีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวกับสามีโจทก์นั้น สภาพของคำขอดังกล่าวไม่เปิดช่องศาลไม่อาจบังคับได้
3. คำพิพากษาฎีกาที่ 454/2533
คำฟ้องบรรยายว่า จำเลยที่ 2 เป็นชู้สาวกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภริยาโจทก์ การเป็นชู้ ย่อมเป็นการล่วงสิทธิของโจทก์นับเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์อยู่ในตัว ทำให้โจทก์เสียหายแก่ชื่อเสียง เกียรติคุณ และขอให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทดแทน นับได้ว่าเป็นการแจ้งชัดทั้งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
โจทก์นำสืบว่าโจทก์เดินทางไปต่างประเทศครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2526 และโจทก์ได้ทราบเรื่องจำเลยเป็นชู้ เมื่อต้นเดือนเมษายน 2527 จำเลยมิได้สืบหักล้างให้เห็นว่าโจทก์ทราบเรื่องตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2526 จึงฟังได้ว่า โจทก์ทราบเรื่องเมื่อเดือนเมษายน 2527 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2527 ยังไม่พ้นกำหนด 1 ปี สิทธิฟ้องของโจทก์ ย่อมไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1529 วรรคหนึ่ง
4. คำพิพากษาฎีกาที่ 981/2535
การที่จำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามีโจทก์อยู่ร่วมเรือนเดียวกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน บุตรของโจทก์และจำเลยที่ 1 เคยเห็นจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 นอนร่วมเตียงเดียวกัน จำเลยที่ 2 เคยไปบ้านของมารดาจำเลยที่ 1 พร้อมกับจำเลยที่ 1 ในวันเทศกาลสำคัญ เช่น วันปีใหม่ และวันสงกรานต์ มีพฤติการณ์เป็นที่ประจักษ์ทั่วไปว่ามีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวต่อกัน การกระทำของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว จึงเป็นการแสดงตนโดยเปิดเผยว่าตนมีความสัมพันธ์กับจำเลยที่ 1 ในทำนองชู้สาว โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนจากจำเลยที่ 2 ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1523 วรรคสอง
แม้โจทก์จะได้ทราบถึงความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาวของจำเลยทั้งสอง ตั้งแต่กลางปี 2525 ก็ตาม แต่ความสัมพันธ์ดังกล่าวยังเกิดขึ้ออยู่ต่อมามิได้หยุดการกระทำและสิ้นไป จนถึงปี 2528 ฉะนั้น เมื่อโจทก์ฟ้องคดีเรียกค่าทดแทนภายในปี 2528 คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1529
5. คำพิพากษาฎีกาที่ 1620/2538
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 แสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามีโจทก์ในทางชู้สาว ตั้งแต่ พ.ศ. 2518 ตลอดมาจนถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ถือว่า จำเลยที่ 2 ประพฤติตนเป็นชู้ของสามีผู้อื่นทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างมากเกี่ยวกับเกียรติยศ ชื่อเสียงและความทุกข์ทรมานทางจิตใจเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยชัดแจ้ง ซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว ส่วนความเสียหายแต่ละอย่างเป็นจำนวนเท่าใด เป็นรายละเอียดที่สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้และคดีไม่ขาดอายุความ เพราะจำเลยที่ 2 กระทำละเมิดต่อเนื่องกันมายังมิได้หยุดกระทำจนถึงขณะฟ้อง
จำเลยที่ 2 แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่ามีความสัมพันธ์กับจำเลยที่ 1 สามีโจทก์ในทำนองชู้สาว โดยโจทก์มิได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจให้จำเลยที่ 1 อุปการะเลี้ยงดู หรือยกย่องจำเลยที่ 2 ฉันภริยา โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคสองได้โดยไม่จำต้องคำนึงว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงหย่ากันเองหรือศาลพิพากษาให้หย่ากัน
6. คำพิพากษาฎีกาที่ 2940/2538
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่ามีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์ในทำนองชู้สาวตลอดมาจนถึงวันฟ้องลักษณะการกระทำของจำเลยได้กระทำต่อเนื่องกันมา ยังมิได้หยุดการกระทำละเมิดของจำเลยได้เกิดขึ้นและมีอยู่ในขณะฟ้องคดี โจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ฎีกาจำเลยที่ว่า การฟ้องเรียกค่าทดแทน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 จะต้องฟ้องหย่าเสียก่อน จึงจะเรียกค่าทดแทนได้นั้นเป็นฎีกาเรื่องอำนาจฟ้อง เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ จำเลยก็มีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ การเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทำนองชู้สาวตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคสอง ไม่มีเงื่อนไขว่าภริยาต้องฟ้องหย่าสามีเสียก่อน จึงจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากหญิงนั้นได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
7. คำพิพากษาฎีกาที่ 4818/2551
โจทก์ฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลย โดยอ้างเหตุว่า จำเลยคบหากับ พ. ในลักษณะชู้สาวและจำเลยแสดงตนโดยเปิดเผยว่า เป็นภริยาของ พ. เป็นการฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลยตาม ป.พ.พ.มาตรา 1523 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทบัญญัติในบรรพ 5 เป็นการเฉพาะ มิใช่คดีละเมิดธรรมดา ถือเป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัว ไม่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 224 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 6
โจทก์อ้างเอกสารที่อยู่ในความครอบครองของบุคคลภายนอกเป็นพยานไม่จำต้องส่งสำเนาเอกสารดังกล่าว ให้แก่จำเลยตาม ป.วิ.พ.มาตรา 90(2)
จำเลยไปรับประทานอาหารกับ พ. ร่วมกับเพื่อนของจำเลยและเพื่อนของ พ. โดยมีการแสดงออกถึงความสัมพันธ์ในลักษณะใกล้ชิดเป็นพิเศษเกินกว่าความสัมพันธ์ในระดับคนที่รู้จักในการทำงานทั่วไปและการที่จำเลยไปพีกที่โรงแรมทั้งสองแห่งกับ พ. โดยพักอาศัยอยู่ห้องเดียวกันและมีเพศสัมพันธ์กัน แม้ผู้ที่เห็นเหตุการณ์จะเป็นเพื่อนของ พ. เพื่อนของจำเลยและพนักงานงานโรงแรมก็เป็นการแสดงตัวอย่างเปิดเผยว่า มีความสัมพันธ์กันแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจำเลยได้
โจทก์ฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลยซึ่งเป็นหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเพื่อแสดงตน มีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์ ในทำนองชู้สาว ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1523 วรรคสอง ซึ่งกฎหมายไม่ได้บังคับว่า จะต้องมีการฟ้องหย่าก่อนจึงจะมีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนได้ ย่อมไม่ใช่การฟ้องเรียกค่าทดแทน ตามมาตรา 1523 วรรคหนึ่ง ซึ่งจะต้องมีการฟ้องหย่า โดยอาศัยเหตุตามมาตรา 1516 (1) เสียก่อนจึงจะมีสิทธิฟ้องได้