ศาลอุทธรณ์นัดฟังคำพิพากษา เป็นพระภิกษุต้องลาสิกขาหรือเปล่า
ผมมีคดีลักทรัพย์ศาลชั้นต้นตัดสิน จำคุก 1 ปี 3 เดือน และได้ยื่นอุทธรณ์มา ตอนนี้ศาลชั้นอุทธรณ์นัดฟังวันที่ 1 มีนาคม ผมอยากทราบว่า คดีผมจะออกมาแบบไหนแต่
1. ผมได้ทำการชดใช้ให้เจ้าทุกข์และเจ้าทุกข์ไม่ได้ติดใจเอาความ
2. เป็นคดีแรก และตอนนี้ผมบวชเป็นพระ
วันขึ้นศาสลต้องลาสิกขาหรือเปล่า ผมต้องนำอะไรไปบ้าง
คำแนะนำสำนักงานทนายความ ทนายคลายทุกข์
1. คดีอาญาความผิดฐานลักทรัพย์ เป็นความผิดอาญาต่อแผ่นดินไม่อาจยอมความกันได้ แม้ท่านจะได้ชดใช้โดยการคืนทรัพย์สิน หรือราคาที่ผู้เสียหายต้องสูญเสียโดยที่เขาไม่ได้ติดใจเอาความอย่างไรก็ตาม ตามกฎหมายแล้ว ย่อมเป็นกรณีที่ท่านรู้สึกถึงความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดนั้น อันเข้าเหตุบรรเทาโทษที่ศาลมีอำนาจลดโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่จะลงแก่ท่านผู้นั้นได้ ตาม ป.อ.มาตรา 78
2. เมื่อท่านไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน และคดีนี้ศาลอุทธรณ์จะลงโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นสมควร จะพิพากษาว่าท่านมีความผิด แล้วกำหนดโทษ แต่รอการลงโทษไว้แล้วปล่อยตัวไปตาม ป.อ.มาตรา 56
3. กรณีที่จำเลยไม่อุปสมบทเป็นพระภิกษุในระหว่างการพิจารณาของศาล ไม่เป็นเหตุยกเว้นการลงโทษหากศาลมีคำพิพากษาว่ามีความผิดและลงโทษจำคุก โดยไม่รอลงอาญา แต่การไปฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จำเลยไม่ต้องลาสิกขา แต่หากศาลพิพากษาว่ามีความผิดโดยไม่รอการลงโทษจำคุก พระจำเลยก็ต้องลาสิกขาบทเพื่อมารับโทษในทางโลกต่อไป
ตัวบทกฎหมายอ้างอิง
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 56 ผู้ใดกระทำความผิดซึ่งมีโทษจำคุก และในคดีนั้นศาลจะลงโทษจำคุกไม่เกินสามปี ถ้าไม่ปรากฏว่าผู้นั้นได้รับโทษจำคุกมาก่อน หรือปรากฏว่าได้รับโทษจำคุกมาก่อน แต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ เมื่อศาลได้คำนึงถึงอายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ และสิ่งแวดล้อมของผู้นั้น หรือสภาพความผิดหรือเหตุอื่นอันควรปรานีแล้ว เห็นเป็นการสมควร ศาลจะพิพากษาว่าผู้นั้น มีความผิดแต่รอการกำหนดโทษไว้หรือกำหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้แล้วปล่อยตัวไป เพื่อให้โอกาสผู้นั้นกลับตัวภายในระยะเวลาที่ศาลจะได้กำหนด แต่ต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่ศาลพิพากษา โดยจะกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของผู้นั้นด้วยหรือไม่ก็ได้
เงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของผู้กระทำความผิดนั้น ศาลอาจกำหนดข้อเดียว
หรือหลายข้อ ดังต่อไปนี้
(1) ให้ไปรายงานตัวต่อเจ้าพนักงานที่ศาลระบุไว้เป็นครั้งคราว เพื่อเจ้าพนักงานจะได้สอบถาม แนะนำ ช่วยเหลือ หรือตักเตือนตามที่เห็นสมควรในเรื่องความประพฤติและการประกอบอาชีพ หรือจัดให้กระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่เจ้าพนักงานและผู้กระทำความผิดเห็นสมควร
(2) ให้ฝึกหัดหรือทำงานอาชีพอันเป็นกิจจะลักษณะ
(3) ให้ละเว้นการคบหาสมาคมหรือการประพฤติใดอันอาจนำไปสู่การกระทำความผิดในทำนองเดียวกันอีก
(4) ให้ไปรับการบำบัดรักษาการติดยาเสพติดให้โทษ ความบกพร่องทางร่างกายหรือจิตใจ หรือความเจ็บป่วยอย่างอื่น ณ สถานที่และตามระยะเวลาที่ศาลกำหนด
(5) เงื่อนไขอื่นๆ ตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดเพื่อแก้ไข ฟื้นฟู หรือป้องกันมิให้ผู้กระทำความผิดกระทำหรือมีโอกาสกระทำความผิดขึ้นอีก
เงื่อนไขตามที่ศาลได้กำหนดตามความในวรรคก่อนนั้น ถ้าภายหลังความปรากฏแก่ศาลตามคำขอของผู้กระทำความผิด ผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้นั้น ผู้อนุบาลของผู้นั้น พนักงานอัยการหรือเจ้าพนักงานว่า พฤติการณ์ที่เกี่ยวแก่การควบคุมความประพฤติของผู้กระทำความผิดได้เปลี่ยนแปลงไป เมื่อศาลเห็นสมควรศาลอาจแก้ไขเพิ่มเติมหรือเพิกถอนข้อหนึ่งข้อใดเสียก็ได้ หรือจะกำหนดเงื่อนไขข้อใด ตามที่กล่าวในวรรคก่อนที่ศาลยังมิได้กำหนดไว้เพิ่มเติมขึ้นอีกก็ได้
มาตรา 78 เมื่อปรากฏว่ามีเหตุบรรเทาโทษ ไม่ว่าจะได้มีการเพิ่มหรือการลดโทษตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นแล้วหรือไม่ ถ้าศาลเห็นสมควรจะลดโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้นก็ได้
เหตุบรรเทาโทษนั้น ได้แก่ผู้กระทำความผิดเป็นผู้โฉดเขลาเบาปัญญาตกอยู่ในความทุกข์อย่างสาหัส มีคุณความดีมาแต่ก่อน รู้สึกความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดนั้น ลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงานหรือให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา หรือเหตุอื่นที่ศาลเห็นว่ามีลักษณะทำนองเดียวกัน