มียาเสพติดไว้ในครอบครอง
สมาชิก R 31032
เข้าร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมเรื่องถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครอง
คิดว่าถูกกลั่นแกล้ง เนื่องจากยาเสพติดไม่ใช่ของตนเอง
แถมตำรวจยังไม่เรียกชายต้องสงสัยมาสอบสวน
น.ส.ปภาดา สมาชิก R 31032 ทำงานเป็นพนักงานฝ่ายผลิตของบริษัทแห่งหนึ่ง
เล่าว่า เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2549 เวลาประมาณ
20.30 น. ได้ขับรถจักรยานยนต์แวะรับเพื่อนเพื่อจะไปทำงาน
ระยะห่างจากบริษัทกับที่พัก ห่างประมาณ 3 กิโลเมตร
พอถึงบริษัทฯ จึงนำรถจักรยานยนต์ไปเก็บที่โรงรถซึ่งห่างจากประตูเข้าบริษัทประมาณ 150 เมตร
หลังจากนำรถจักรยานยนต์เข้าจอด
เห็นชายคนหนึ่งเข้ามาจอดข้างรถตนเองทำท่าทางมีพิรุธ
แต่คิดว่าไม่มีอะไรจึงไปทำงานตามปกติ จนเวลา 23.30 น. รปภ.ของบริษัทฯ
เข้ามาเรียก บอกว่าฝ่ายบุคคลให้ไปพบที่หน้าป้อมยาม
จึงออกไปพบเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ 1 นายพร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล
1 คน ซึ่งปกติในเวลากลางคืนฝ่ายบุคคลจะไม่มีเจ้าหน้าที่ทำงาน
ตำรวจบอกว่ามีคนแจ้งว่าตนเองขายยาบ้า
ตำรวจจึงตรวจค้นตัวโดยไม่มีหมายค้นแต่ไม่พบของกลาง จึงไปตรวจค้นรถจักรยานยนต์
พบยาบ้าจำนวน 13 เม็ดห่อด้วยถุงพลาสติกซุกไว้ที่ใต้บังลมด้านขวา
ตำรวจเชิญตัวผู้ต้องหาไปสอบปากคำที่สน.นครหลวง? และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกนายขับรถจักรยานยนต์ตามไป
ถึงสน.เวลาประมาณ 24.00 น. เข้าห้องสอบสวนชั้นล่างของโรงพัก
ได้ยินเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งพูดว่า วันนี้มีผลงานมาให้ พนักงานสอบสวนสอบปากคำ
ผู้ต้องหาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาพนักงานสอบสวนจึงให้ภรรยาตำรวจมาค้นตัวโดยละเอียดแต่ไม่พบอะไร
เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งข้อกล่าวหามียาบ้าไว้ในครอบครอง
ผู้ต้องหาพูดถึงชายที่มีพิรุธข้างรถ
แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่หาตัวชายดังกล่าวมาสอบสวน และนำตัวผู้ต้องหาฝากขัง
แจ้งหลักทรัพย์ประกันตัว 300,000 บาท สมาชิกจึงประกันตัวออกมา
ถาม : หนูไม่ได้ทำผิด หนูถูกใส่ร้าย
อาจารย์จะช่วยอะไรหนูได้บ้าง
คำแนะนำอาจารย์เดชา
ให้ผู้ต้องหาเตรียมพยานหลักฐานก่อนเกิดเหตุ
ขณะเกิดเหตุ หลังเกิดเหตุ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตัวเองต่อไป
ตัวบทกฎหมายอ้างอิง
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 131 บัญญัติว่า
ให้พนักงานสอบสวนรวบรวมหลักฐานทุกชนิด เท่าที่สามารถจะทำได้
เพื่อประสงค์จะทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่าง ๆ
อันเกี่ยวกับความผิดที่ถูกกล่าวหา
เพื่อจะรู้ตัวผู้กระทำความผิดและพิสูจน์ให้เห็นความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา