ความผิดต่อหน้าที่ต้องการฎีกา
เรื่องมีอยู่ว่า ข้าพเจ้า เป็นเจ้าหน้าที่ของ อบต. ตำแหน่งหัวหน้าส่วนโยธา ได้ลงนามในฎีกาเบิกจ่ายเงิน ให้แก่ผู้รับจ้าง (ในฐานะผู้เบิก) เป็นค่าก่อสร้าง ในวงเงินค่าจ้าง สองแสนกว่าบาท วางเบิกต่อส่วนการคลัง ของ อบต หัวหน้าส่วนการคลังเป็นผู้ตรวจฏีกา และเบิกจ่ายเงิน โดยผ่านปลัด อบต และนายก อบต เป็นผู้อนุมัติให้จ่ายเงิน ให้แก่ หจก. รักยิ่ง ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามสัญญาจ้าง แต่ หจก.รักยิ่ง ได้โอนสิทธิเรียกร้องการจ่ายเงินให้แก่ หจก. ไทยงาม ก่อนที่จะมีการจ่ายเงินค่าจ้าง
ต่อมา หจก.ไทยงามได้ฟ้องร้องต่อศาล ว่า อบต มิได้จ่ายเงินให้แก่ผู้รับโอนตามที่ได้โอนสิทธเรียกร้องการจ่ายเงิน โดยมี อบต เป็นจำเลยที่ 1 นายก อบต. เป็นจำเลยที่สอง ปลัด เป็นจำเลยที่สาม หัวหน้าส่วนการคลังเป็นจำเลยที่สี่ หัวหน้าส่วนโยธาเป็นจำเลยที่5 หจกรักยิ่ง เป็นจำเลยที่ 6 ศาลชั้นต้นตัดสินให้จำเลย จำคุก 3 ปี ศาลอุธรณ์ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้น ขณะนี้ได้ประกันตัวจำเลยทั้งหมดออกมาแล้ว
ขอเรียนถามว่า จะมีทางไหนที่จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้บ้าง ขอความอนุเคราะห์ และต้องการทนายเพื่อช่วยเหลือในขั้นฏีกา และยินดีจะจ่ายค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
คำแนะนำทนายคลายทุกข์
จากข้อเท็จจริงของคุณ และคำพิพากษาลงโทษจำคุกของศาล ผมไม่ทราบว่าคุณถูกฟ้องในข้อหาอะไร เพราะหากพิจารณาตามข้อเท็จจริง น่าจะเป็นเรื่องการผิดสัญญาทางแพ่งมากกว่า
แต่อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาตามคำพิพากษาที่ลงโทษจำคุก คุณน่าจะถูกฟ้องในคดีอาญา หากคุณต้องการที่จะผ่อนหนักให้เป็นเบา คุณต้องไปเจรจากับเจ้าหนี้ขอผ่อนชำระหนี้ที่ค้างชำระหรือผ่อนชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ แต่เนื่องจากโทษที่คุณได้รับดังกล่าว คือศาลชั้นต้นจำคุก 3 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีของคุณจำต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามคู่ความฎีกา ตาม ป.วิ.อ มาตรา 218 วรรคแรก
ตัวบทกฎหมายอ้างอิง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 218 ในคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างหรือเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี หรือปรับหรือทั้งจำทั้งปรับแต่โทษจำคุกไม่เกินห้าปีห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง