เศรษฐกิจตกต่ำแนวโน้มพนักงานฝ่ายขายยักยอกทรัพย์สูงขึ้นคดีล้นศาล
ทนายคลายทุกข์ ขอนำเสนอบทความเกี่ยวกับปัญหาการยักยอกทรัพย์ของพนักงานขายของบริษัท มีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจตกต่ำ ผมในฐานะทนายความจำเป็นต้องเดินทางไปศาลเกือบทุกวัน พบว่าในคดีศาลแขวงโดยเฉพาะคดีอาญา ส่วนใหญ่เป็นคดีเกี่ยวกับการยักยอกทรัพย์ ตาม ป.อ. มาตรา 352 อันสืบเนื่องมาจากพนักงานยักยอกทรัพย์ทั้งสิ้น ตัวอย่างของคดียักยอกทรัพย์ที่เกิดจากพนักงาน มีดังนี้
1. เก็บเงินสดแล้วไม่นำส่งบริษัท พนักงานฝ่ายขายเก็บเงินสดจากลูกค้าที่ตัวเองมีหน้าที่ขายและเก็บเงินแล้ว ไม่นำส่งบริษัทและไม่รายงานบริษัท
2. อ้างว่าทำใบเสร็จรับเงินหาย พนักงานฝ่ายขายเก็บเงินได้ แต่นำไปใช้ส่วนตัว แต่รายงานบริษัทว่ายังเก็บเงินไม่ได้ เนื่องจากลูกค้ามีปัญหาทางการเงิน เช่น กิจการย่ำแย่ เก็บเงินจากลูกค้าของตนเองไม่ได้ มีหนี้สินเยอะ กำลังหาเงินอยู่ เป็นต้น
3. แจ้งความใบเสร็จหายแต่นำไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว พนักงานฝ่ายขายทำใบเสร็จรับเงินหาย และไปแจ้งความตำรวจ หลังจากนั้นนำสำเนาบันทึกประจำวันมาส่งมอบให้บริษัท ซึ่งความเป็นจริงไม่ได้หาย แต่นำใบเสร็จที่เบิกไปทั้งเล่มไปออกให้กับลูกค้าของบริษัท ทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย
4. ทำใบเสร็จปลอม พนักงานฝ่ายขายออกใบเสร็จรับเงินที่ตัวเองจัดทำขึ้นเองและนำไปออกให้กับลูกค้า และนำเงินที่ได้จากการทุจริตไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว
5. ปัญหาด้านการเงินส่วนตัวของพนักงานขาย ปัญหาส่วนตัวของพนักงานฝ่ายขาย เช่น ปัญหาครอบครัว ค่าเทอมบุตร ค่าใช้จ่ายในครอบครัว ค่าใช้จ่ายในการเช่าบ้าน ค่าผ่อนรถ ผ่อนบ้าน บัตรเครดิต บัตรเงินด่วน หนี้นอกระบบ ทำให้หมุนเงินไม่ทัน เป็นต้นเหตุให้ยักยอกทรัพย์สินของบริษัท
6. ระบบงานหละหลวงมีช่องว่าง บริษัทมีช่องว่าง เปิดโอกาสให้พนักงานฝ่ายขายทุจริตได้ง่าย
แนวทางในการป้องกันพนักงานยักยอกทรัพย์ของเจ้าของกิจการ
1. ต้องออกข้อบังคับการทำงาน ห้ามพนักงานรับเงินสดจากลูกค้าโดยเด็ดขาด หากฝ่าฝืนถือว่าผิดวินัยร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 ต้องถูกไล่ออกสถานเดียว
2. พิมพ์ข้อความลงในใบเสร็จรับเงินว่า ห้ามชำระด้วยเงินสด หรือส่งมอบเงินให้พนักงานขาย และให้โอนเงินเข้าบัญชีบริษัทเท่านั้น
3. พนักงานขายสินค้าและบริการ ต้องเป็นบุคคลคนละคน พนักงานขายสินค้าควรขายสินค้าอย่างเดียว ส่วนการเก็บเงินจากลูกค้าเป็นหน้าที่ของฝ่ายบัญชีหรือการเงินต้องแยกออกจากกันโดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันการชงเองกินเองโกงเองโดยคนคนเดียว
4. พนักงานบัญชีหรือการเงินต้องมีการสุ่มตรวจลูกค้าที่มีปัญหาทางการเงินสม่ำเสมอทุกสัปดาห์ หรือบางครั้งอาจต้องเดินทางไปเยี่ยมลูกค้าสม่ำเสมอ โดยไม่แจ้งล่วงหน้า เพื่อป้องกันการทุจริต
5. ในกรณีมีการทำให้ใบเสร็จรับเงินหายของพนักงานฝ่ายขาย ต้องทำหนังสือเวียนแจ้งลูกค้าทุกรายทราบ เพื่อป้องกันการนำเอาใบเสร็จที่แจ้งหายไปใช้ในทางมิชอบ และผู้บริหารต้องเดินทางไปตรวจสอบลูกค้าทุกรายของฝ่ายขายที่ทำใบเสร็จรับเงินหาย เพื่อหาความจริง
6. ผู้บริหาร, เจ้าของกิจการ ต้องเยี่ยมเยียนลูกค้าสม่ำเสมอ มิฉะนั้นลูกค้าของบริษัทจะกลายเป็นลูกค้าของพนักงานฝ่ายขาย ฝ่ายขายมักนำสินค่าส่วนตัวมาขายพ่วงกับสินค้าบริษัท
7. ตรวจสอบพฤติกรรมของพนักงานฝ่ายขายอย่างสม่ำเสมอ โดยการสืบจากเพื่อนร่วมงาน, ลูกค้า เป็นต้น โดยเฉพาะพฤติกรรมในการใช้จ่ายเงิน, หนี้สิน, การใช้ของราคาแพงหรือฟุ่มเฟือยเกินฐานะความเป็นอยู่ หรือเล่นการพนันหรือมีภรรยาหลายคน ชอบทำผิดศีลธรรม เป็นต้น เพราะถ้าไม่มีระเบียบวินัยในการใช้เงิน โอกาสทุจริตมีสูงมาก
ตัวบทกฎหมายลงโทษพนักงานยักยอกทรัพย์, ปลอมเอกสาร บทลงโทษตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน มีดังนี้
ปลอมแปลงเอกสาร
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 264 ผู้ใดทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใดๆ ในเอกสารที่แท้จริง ถ้าได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 265 ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิ หรือเอกสารราชการ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท
มาตรา 268 ผู้ใดใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทำความผิดตามมาตรา 264 มาตรา 265 มาตรา 266 หรือมาตรา 267 ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ
ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคแรกเป็นผู้ปลอมเอกสารนั้น หรือเป็นผู้แจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความนั้นเองให้ลงโทษตามมาตรานี้แต่กระทงเดียว
ยักยอกทรัพย์
มาตรา352 ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ไล่ลูกจ้างออกโดยไม่ต้องจ่ายเงินชดเชย
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
มาตรา 119 นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้าง ซึ่งเลิกจ้างในกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้
(1) ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนา แก่นายจ้าง