เงินกู้/ดอกเบี้ย/ดอกบี้ยเกินอัตรา
เมื่อปี47 ได้กู้เงินจำนวน 150,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ24/ปี เท่ากับดอกเบี้ยตกปีละ36,000บาท พร้อมทั้งจำนองที่ดิน แต่ว่าเจ้าหนี้ให้ทำจำนอง 240,000 บาท เนื่องด้วย อัตราดอกเบี้ยร้อยละ15/ปี เท่ากับดอกเบี้ยตกปีละ36,000บาท ตอนที่เจ้าหนี้ให้เงิน ให้เป็นเงินสด เลยไม่มีหลักฐานว่าผมได้รับแค่ 150,000บาท จริง แต่เนื่องด้วยเกิดปัญหาธุรกิจที่ทำอยู่ขาดทุน เลยได้ส่งดอกเบี้ยไปแค่ปีเดียวคือ 36,000 บาท
จนปัจจุบันทางเจ้าหนี้ได้ทำการฟ้องด้วยยอดเงิน 408,000 บาท โดยแบ่งเป็น เงินต้น 240,000 และ ดอกเบี้ย 168,000 บาท เลยอยากรบกวน อ.เดชา ช่วยตอบทีครับ
1.มีความเป็นไปได้ไหม ที่ศาลจะสั่งให้เก็บเงินต้น150,000 บาท และดอกเบี้ยตามที่กฏหมายกำหนดได้ไหมครับ
2.พอจะมีวิธีใดบ้างที่จะสามารถลดหย่อนได้ไหม
3.ต้องเสียค่าใช้จ่ายตอนขึ้นศาลมากไหมคับ
4.หรือ อ.เดชา มีวิธีใดแนะนำบ้างคับ
คำแนะนำทนายคลายทุกข์
เมื่อเจ้าหนี้ได้ทำการฟ้องคุณด้วยยอดเงิน 408,000 บาท โดยแบ่งเป็นเงินต้น 240,000 บาท และดอกเบี้ย 168,000 บาท แต่เมื่อคุณได้ทำการกู้เงินจริงเป็นจำนวน 150,000 บาท โดยที่เจ้าหนี้ไม่คิดดอกเบี้ยร้อยละ 24 ต่อปี คุณก็ย่อมมีสิทธิที่จะนำสืบหรือให้การต่อสู้ว่าคุณกู้จริง และได้รับเงินกู้ไปเพียง 150,000 บาท ได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 84
ส่วนกรณีที่เจ้าหนี้ของคุณ เรียกดอกเบี้ยร้อยละ 24 ต่อปี ซึ่งถ้าเป็นเจ้าหนี้ที่เป็นสถาบันการเงิน เช่น ธนาคาร เขาก็ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้เกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย และประกาศของธนาคาร ซึ่งเป็นข้อยกเว้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 654 ที่ห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปี แต่ถ้าหากเป็นเจ้าหนี้เงินกู้ทั่วไปย่อมมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้เพียงไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปีเท่านั้น หากเจ้าหนี้ยนั้นได้เรียกเกินร้อยละ 15 ต่อปี เป็นการฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 ดอกเบี้ยในส่วนที่เรียกเก็บทั้งหมดจึบตกเป็นโมฆะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 เจ้าหนี้เรียกดอกเบี้ยไม่ได้ทั้งหมด
แต่ส่วนดอกเบี้ยที่คุณได้ส่งให้แก่เจ้าหนี้ไปจำนวน 36,000 บาท ซึ่งเป็นการที่คุณได้ชำระหนี้ตามอำเภอใจ โดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระ เพราะฉะนั้น ดอกเบี้ย 36,000 บาท ที่คุณส่งแก่เจ้าหนี้ คุณจึงไม่มีสิทธิจะได้รับคืนจากเจ้าหนี้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 407