ทำคลอดตาย/ฟ้องโรงพยาบาล/คำแนะนำทนายคลายทุกข์/กฎหมายที่เกี่ยวข้อง/บทลงโทษ
ทนายคลายทุกข์ขอนำข่าวจาก www.dailynews.co.th เป็นรายงานข่าวเกี่ยวกับโรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน จ.พิษณุโลก ทำคลอดแม่ลูกแฝด 3 ทำให้แม่เด็กเสียชีวิต ญาติคนไข้เรียกค่าเสียหายกับโรงพยาบาล 100,000 บาท ปรากฎว่าโรงพยาบาลจ่ายเพียง 20,000 บาท พร้อมนมกระป๋อง จำนวน 18 กระป๋อง หลังจากญาตินำนมกระป๋องมาเลี้ยงทารก ปรากฏว่าเด็กเกิดอาการท้องเสียอย่างรุนแรง ตรวจสอบพบว่านมหมดอายุ 2 ปีแล้ว จึงร้องผ่านสื่อมวลชนให้ช่วยนำเสนอเรื่องดังกล่าวเพื่อให้โรงพยาบาลรับผิดชอบในเรื่องดังกล่าว
ซึ่งกระทำดังกล่าวมีความผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 ,พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 มาตรา 25, มาตรา 58 คดีนี้เป็นคดีผู้บริโภค ผู้เสียหายมีสิทธิฟ้องศาลได้ ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 3, มาตรา 13 โดยฟ้องต่อศาลที่ผู้บริโภคมีภูมิลำเนา ตามมาตรา 17 ได้รับการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียม ตามมาตรา 18 และ พระราชบัญญัติความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ. 2551 มาตรา 12
ตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522
มาตรา 25 ห้ามมิให้ผู้ใดผลิต นำเข้าเพื่อจำหน่าย หรือจำหน่ายซึ่งอาหารดังต่อไปนี้
(1) อาหารไม่บริสุทธิ์
(2) อาหารปลอม
(3) อาหารผิดมาตรฐาน
(4) อาหารอื่นที่รัฐมนตรีกำหนด
มาตรา 58 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 25 (1) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
พระราชบัญญัติความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ. 2551
มาตรา 12 สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยตามพระราชบัญญัตินี้เป็นอันขาดอายุความเมื่อพ้นสามปีนับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้ถึงความเสียหายและรู้ตัวผู้ประกอบการที่ต้องรับผิด หรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่วันที่มีการขายสินค้านั้น
ในกรณีที่ความเสียหายเกิดขึ้นต่อชีวิต ร่างกาย สุขภาพ หรืออนามัย โดยผลของสารที่สะสมอยู่ในร่างกายของผู้เสียหายหรือเป็นกรณีที่ต้องใช้เวลาในการแสดงอาการ ผู้เสียหายหรือผู้มีสิทธิฟ้องคดีแทนตามมาตรา ๑๐ ต้องใช้สิทธิเรียกร้องภายในสามปีนับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหายและรู้ตัวผู้ประกอบการที่ต้องรับผิด แต่ไม่เกินสิบปีนับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหาย
พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551
มาตรา 3 ในพระราชบัญญัตินี้
“คดีผู้บริโภค” หมายความว่า
(1) คดีแพ่งระหว่างผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคตามมาตรา ๑๙ หรือตามกฎหมายอื่น กับผู้ประกอบธุรกิจซึ่งพิพาทกันเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายอันเนื่องมาจากการบริโภคสินค้าหรือบริการ
(2) คดีแพ่งตามกฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย
(3) คดีแพ่งที่เกี่ยวพันกันกับคดีตาม (1) หรือ (2)
(4) คดีแพ่งที่มีกฎหมายบัญญัติให้ใช้วิธีพิจารณาตามพระราชบัญญัตินี้
“ผู้บริโภค” หมายความว่า ผู้บริโภคตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค และให้หมายความรวมถึงผู้เสียหายตามกฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยด้วย
“ผู้ประกอบธุรกิจ” หมายความว่า ผู้ประกอบธุรกิจตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภคและให้หมายความรวมถึงผู้ประกอบการตามกฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยด้วย
“ก.ศ.” หมายความว่า คณะกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรมตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม
“เจ้าพนักงานคดี” หมายความว่า บุคคลที่เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 13 ในกรณีที่ความเสียหายเกิดขึ้นต่อชีวิต ร่างกาย สุขภาพ หรืออนามัย โดยผลของสารที่สะสมอยู่ในร่างกายของผู้บริโภคหรือเป็นกรณีที่ต้องใช้เวลาในการแสดงอาการ ผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคต้องใช้สิทธิเรียกร้องภายในสามปีนับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหายและรู้ตัวผู้ประกอบธุรกิจที่ต้องรับผิด แต่ไม่เกินสิบปีนับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหาย
มาตรา17 ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจจะฟ้องผู้บริโภคเป็นคดีผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจมีสิทธิเสนอคำฟ้องต่อศาลที่ผู้บริโภคมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือต่อศาลอื่นได้ด้วย ให้ผู้ประกอบธุรกิจเสนอคำฟ้องต่อศาลที่ผู้บริโภคมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลได้เพียงแห่งเดียว
มาตรา 18 ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย การยื่นคำฟ้องตลอดจนการดำเนินกระบวนพิจารณาใดๆ ในคดีผู้บริโภคซึ่งดำเนินการโดยผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคให้ได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวง แต่ไม่รวมถึงความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นที่สุด
ถ้าความปรากฏแก่ศาลว่าผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคนำคดีมาฟ้องโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร เรียกร้องค่าเสียหายเกินสมควร ประพฤติตนไม่เรียบร้อย ดำเนินกระบวนพิจารณาอันมีลักษณะเป็นการประวิงคดีหรือที่ไม่จำเป็น หรือมีพฤติการณ์อื่นที่ศาลเห็นสมควร ศาลอาจมีคำสั่งให้บุคคลนั้นชำระค่าฤชาธรรมเนียมที่ได้รับการยกเว้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วนต่อศาลภายในระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควรกำหนดก็ได้ หากไม่ปฏิบัติตาม ให้ศาลมีอำนาจสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ในกรณีตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ถ้าศาลเห็นว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะต้องเป็นผู้รับผิดเสียค่าฤชาธรรมเนียมทั้งหมดหรือแต่บางส่วนของคู่ความทั้งสองฝ่าย ให้ศาลพิพากษาในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมโดยสั่งให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งนั้นชำระต่อศาลในนามของผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคซึ่งค่าฤชาธรรมเนียมที่ผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคนั้นได้รับยกเว้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วนตามที่ศาลเห็นสมควร
รายละเอียดรายงานข่าว
เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 12 ต.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านในพื้นที่ หมู่ 6 บ้านบ่อโพธิ์ ต.บ่อโพธิ์ อ.นครไทย จ.พิษณุ โลก ว่าได้มีโรงพยาบาลแห่งหนึ่งได้แจกนมผงหมดอายุให้แก่มารดานำมาให้ทารกแรกเกิดดื่มแล้วเกิดท้องเสียอย่างหนัก เมื่อตรวจสอบดูกลับพบว่าหมดอายุมากว่า 2 ปีแล้ว จึงรีบเดินทางไปตรวจสอบที่บ้านเลขที่ 31 หมู่ที่ 6 บ้านบ่อโพธิ์ ต.บ่อโพธิ์ อ.นครไทย ซึ่งเป็นบ้านชั้นเดียวยกพื้นสูงสภาพเก่า พบ นางวันรัก ปัญญาเครือ อายุ 47 ปี ผู้เป็นย่าพร้อมเพื่อนบ้านกำลังช่วยกันเลี้ยงดูหลานสาวฝาแฝด 3 คน ทราบชื่อคือ ด.ญ.อมรยุพา หรือ “น้องน้ำนิล” ปัญญาเครือ ด.ญ. อริราพา หรือ “น้องน้ำเพชร” ปัญญาเครือ และ ด.ญ.เกณิกา หรือ “น้องน้ำพลอย” ปัญญาเครือ ซึ่งฝาแฝดทั้ง 3 คนอายุได้ 2 เดือนเศษ พร้อมทั้งได้นำนมผงยี่ห้อหนึ่ง มาให้ผู้สื่อข่าวพิสูจน์พบว่ามีทั้งหมด 18 กระป๋อง และถูกนำมาชงให้หนูน้อยฝาแฝดทั้ง 3 คนดื่มไปแล้ว 4 กระป๋อง เมื่อตรวจสอบวันเดือนปีผลิตและวันหมดอายุของนมผงดังกล่าวที่บริเวณใต้กระป๋อง พบว่านมบางกระป๋องหมดอายุตั้งแต่ปี ค.ศ. 2007 และปี ค.ศ. 2008 โดยเหลือนมผงที่ยังไม่หมดอายุ 6 กระป๋อง
นางวันรัก เปิดเผยว่า หลานสาวฝาแฝดทั้ง 3 คนนั้นเป็นลูกของ นายณัฐนันท์ ปัญญาเครือ อายุ 23 ปี ซึ่งเป็นลูกชายของตนกับ นางเกศรา ลิ้นทอง อายุ 24 ปี โดยคลอดเมื่อวันที่ 23 ก.ค.52 ที่ รพ.แห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก แต่เมื่อหนูน้อย ทั้ง 3 คน คลอดออกมาได้ประมาณ 4 วัน มารดาเด็กได้เสียชีวิตลง โดยแพทย์ ระบุสาเหตุการเสียชีวิตว่าเกิดจากหัวใจวายกะทันหันหลังคลอดและเลือดจาง ทำให้หนูน้อยฝาแฝดทั้ง 3 คน ต้องกำพร้าแม่ตั้งแต่แรกเกิด โดยครอบครัวของตนได้เรียกร้องให้ทางโรงพยาบาลดังกล่าวรับผิดชอบที่ทำให้ลูกสะใภ้ตนต้องเสียชีวิตเป็นเงิน 1 แสนบาท เพื่อนำมาใช้จ่ายดูแลฝาแฝดทั้ง 3 คน แต่ทางโรงพยาบาลต่อรองจ่ายชดเชยให้เพียง 2 หมื่นบาท พร้อมทั้งมอบนมผงทั้ง 18 กระป๋อง ให้มาเมื่อวันที่ 10 ก.ย. 52 ที่ผ่านมา หลังจากนั้นนายณัฐนันท์ พ่อของหนูน้อยทั้ง 3 ก็ไปบวชพระอยู่ที่วัดนาตาดี เพื่อแก้เคล็ดที่มีลูกฝาแฝดตามความเชื่อของคนโบราณและแผ่ส่วนกุศลให้ภรรยาที่เสียชีวิต ตนจึงช่วยเลี้ยงหลานฝาแฝดทั้ง 3 คนรวมทั้ง ด.ญ.สมิตานัน ปัญญาเครือ อายุ 1 ขวบ 10 เดือน หลานสาวคนโตซึ่งเป็นพี่สาวของฝาแฝดทั้ง 3 ไว้อีกด้วย
นางวันรัก เปิดเผยต่ออีกว่า หลังจากที่ทางโรงพยาบาลดังกล่าวมอบนมผงให้มาตนจึงนำนมผงมาชงให้หลานสาวฝาแฝดทั้ง 3 คนดื่มจนหมดไป 4 กระป๋อง และหลังจากที่ให้หลานดื่มนมก็พบว่าเกิดอาการท้องเสียอย่างหนักจนร้องไห้งอแง โดยในตอนแรกตนคิดว่าอุปกรณ์ที่นำมาใส่นมให้หลานดื่มไม่สะอาด จึงทำความสะอาดขวดนมโดยการต้มน้ำร้อนจนสะอาดแต่ก็ยังท้องเสียอีก ตนจึงเอะใจนำกระป๋องนมมาตรวจดูวันเดือนปีผลิตและวันหมดอายุ พบว่านมผงดังกล่าวหมดอายุมา 1-2 ปีแล้ว จึงอยากฝากให้ทางโรงพยาบาลทำการตรวจสอบวันเดือนปีการผลิตและวันหมดอายุของนมผงก่อนที่จะนำมามอบให้แก่ตนและเด็กคน อื่น ๆ พร้อมทั้งวอนขอความช่วยเหลือจากประชาชนผ่าน “เดลินิวส์” ให้เป็นสื่อกลางในการนำเสนอข่าว เนื่องจากครอบครัวของตนมีฐานะอยากจนมากและไม่มีเงินนำมาซื้อนมให้หลานสาวฝาแฝดทั้ง 3 คน.
ขอขอบคุณรายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ อ่านข้อมูลเพิ่มเตมได้ที่ www.dailynews.co.th