ความแตกต่างระหว่างโทษทางวินัยและโทษทางอาญาของตำรวจ
แตกต่างในด้านวัตถุประสงค์
โดยกฎหมายอาญามีวัตถุประสงค์ในการปราบปรามผู้กระทำผิดให้กลับเนื้อกลับตัว แต่โทษทางวินัยมีวัตถุประสงค์กำจัดผู้กระทำผิดออกไปจากองค์กร และมุ่งรักษาเกียรติศักดิ์ของข้าราชการโดยรวมโดยการลงโทษต่อชื่อเสียงและเกียรติภูมิของผู้นั้น
แตกต่างในด้านลักษณะ
โทษทางวินัยเป็นโทษในทางปกครองมีผู้บังคับบัญชาเป็นผู้ดำเนินการ แต่โทษทางอาญาเป็นการลงโทษในนามของแผ่นดินและสังคมเป็นการทำลายความสงบเรียบร้อยและระเบียบของสังคมทั่วไปโดยใช้กระบวนการยุติธรรม
แตกต่างในด้านสถานโทษ
โทษทางอาญามุ่งกระทำต่อเนื้อตัวเสรีภาพหรือชีวิตของผู้กระทำผิดหรือทรัพย์สินของผู้กระทำผิด
การสืบสวนข้อเท็จจริง
-กรณีที่ควรทำการสืบสวนข้อเท็จจริง
-ผู้บังคับบัญชามีเหตุอันควรสงสัยว่าข้าราชการตำรวจในบังคับบัญชากระทำผิดวินัย
มีผู้ร้องเรียนกล่าวหาว่าข้าราชการตำรวจในบังคับบัญชากระทำผิดวินัย
-ส่วนราชการอื่นแจ้งมาให้ทราบว่าข้าราชการตำรวจในบังคับบัญชากระทำผิดวินัยหรือสงสัยว่ากระทำผิดวินัย
-มีบัตรสนเท่ห์กล่าวโทษว่าข้าราชการตำรวจในบังคับบัญชาผู้ใดกระทำผิดวินัย
-กรณีที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อมวลชนใด ๆ ว่าข้าราชการตำรวจในบังคับบัญชากระทำผิดวินัย
-เหตุอื่น ๆ ที่ผู้บังคับบัญชาหรือจเรตำรวจเห็นสมควรสืบสวน
การสอบสวนทางวินัย
ผู้มีอำนาจดำเนินการทางวินัย
-นายกรัฐมนตรี
-ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
-ผู้บัญชาการหรือตำแหน่งเทียบเท่า
-ผู้บังคับการหรือตำแหน่งเทียบเท่า
-ผู้บังคับบัญชาอื่นตามที่กำหนดในระเบียบ ก.ตร.
วิธีการสอบสวน
-คุณสมบัติของคณะกรรมการสอบสวน
-กำหนดระยะเวลาในการสอบสวน
-ระยะเวลาในการพิจารณาสั่งการสำนวนการสอบสวน
-การรายงานการดำเนินการทางวินัย
การดำเนินการกรณีหย่อนความสามารถ
-บกพร่องในหน้าที่ราชการ
-ประพฤติตนไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ราชการ
-มีเหตุอันควรสงสัยว่าหย่อนความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ
-ผู้บังคับบัญชาตั้งแต่ ผกก.ขึ้นไปเป็นผู้ตั้งกรรมการสอบสวน
การสั่งพักราชการและการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน
-เพื่อรอฟังผลการสอบสวนพิจารณาทางวินัย
-เมื่อมีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยจนถูกตั้งกรรมการสอบสวน
-ต้องหาคดีอาญา
-ถูกฟ้องคดีอาญา เว้นคดีที่กระทำโดยประมาทหรือลหุโทษ
เงื่อนไขการสั่งพักราชการหรือสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน
-เป็นเรื่องเกี่ยวกับการทุจริตต่อหน้าที่ราชการหรือ
-เกี่ยวกับความประพฤติหรือมีพฤติการณ์อันไม่น่าไว้วางใจ และอัยการไม่รับเป็นทนายแก้ต่างให้ และถ้าคงอยู่ในหน้าที่อาจเกิดการเสียหายแก่ราชการ
-หากอยู่ในหน้าที่จะเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย
-อยู่ระหว่างถูกควบคุมหรือขังโดยเป็นผู้ถูกจับในคดีอาญาหรือต้องจำคุกโดยคำพิพากษาและถูกควบคุม ขัง หรือจำคุกติดต่อกันเกิน 15 วันแล้ว
-ถูกตั้งกรรมการสอบสวนและต่อมามีคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำผิดหรือถูกตั้งกรรมการสอบสวนหลังจากมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำผิดและประจักษ์ชัดแล้วว่าความผิดอาญานั้นเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง
อำนาจการลงโทษ อัตราโทษและการลงโทษ
-การลงโทษทางวินัยให้เป็นไปตามตารางที่กำหนดใน กฎ ก.ตร.
-ลงโทษเกินกว่าตารางที่ กฎ ก.ตร.กำหนดไม่ได้ แต่ลงโทษต่ำกว่าได้
-การอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรงไม่เป็นเหตุทุเลาการลงโทษ
-กักยามให้ใช้ระดับ ผกก.ลงมา
-กักขังให้ระดับ รอง สว.ลงมา
-การกักขังให้นำตัวไปรับโทษที่สถานีหรือหน่วยอื่นที่ผู้ถูกลงโทษมิได้ประจำอยู่
-ตร.หญิงห้ามมิให้กักขังรวมกับ ตร.ชายและห้ามกักขังรวมกับผู้ต้องหา
-ต้องเป็นผู้อยู่ใต้การปกครอง ไม่ว่าโดยตำแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้ง การไปช่วยราชการ การเข้ารับการอบรม หรืออื่น ๆ ทำนองเดียวกัน
-รองหรือผู้ช่วยที่ทำหน้าที่หัวหน้าหน่วย มีอำนาจลงโทษได้ตามอำนาจของหัวหน้าหน่วยที่เหนือตนขึ้นไปชั้นหนึ่ง
การออกคำสั่งลงโทษ
-สั่งลงโทษทางวินัยไม่ร้ายแรง ห้ามสั่งลงโทษย้อนหลังไปก่อนวันออกคำสั่ง เว้นแต่
-การสั่งลงโทษภาคทัณฑ์หรือตัดเงินเดือนผู้ถูกสั่งพักราชการหรือสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ให้สั่งลงโทษย้อนหลังไปถึงวันพักราชการหรือวันสั่งให้ออกจากราชการ
-การสั่งลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรง จะสั่งให้ออกตั้งแต่วันใด ให้เป็นไปตามที่ระเบียบ ก.ตร.กำหนด
วันออกจากราชการของข้าราชการตำรวจ
-การสั่งให้ออกตามมาตรา 60 มาตรา 98 มาตรา 100 มาตรา 101 มาตรา 102 มาตรา 103 ห้ามสั่งย้อนหลัง เว้นแต่
-ตามมาตรา 103 ให้สั่งตั้งแต่วันต้องรับโทษ
-สั่งปลดหรือไล่ออกไปแล้ว ถ้าต้องสั่งใหม่หรือเปลี่ยนแปลงเป็นให้ออกจากราชการให้สั่งย้อนไปถึงวันที่ควรต้องออกตามกรณีนั้น
กรณีมีเหตุสมควร
-การสั่งลงโทษปลดออกหรือไล่ออกห้ามสั่งย้อนหลัง เว้นแต่
-มีคำสั่งพักราชการหรือสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนแล้ว ให้สั่งปลดออกหรือไล่ออก ตั้งแต่วันพักราชการหรือวันสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนแล้วแต่กรณี
-กรณีละทิ้งหน้าที่ราชการเกินกว่าสิบห้าวันและไม่กลับมาอีกให้สั่งตั้งแต่วันละทิ้ง
-กรณีสั่งให้ออกตามมาตรา 60,98,100,101,102,103 ไปแล้วถ้าต้องสั่งใหม่หรือเปลี่ยนแปลงเป็นปลดออกหรือไล่ออกจากราชการให้สั่งย้อนไปถึงวันที่ควรต้องปลดหรือไล่ออกตามกรณีนั้นในขณะที่ออกคำสั่งเดิม
-กรณีกระทำผิดอาญาจนมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ให้สั่งตั้งแต่วันต้องรับโทษจำคุกหรือวันถูกคุมขังติดต่อกันจนถึงวันต้องคำพิพากษาถึงที่สุด
-กรณีถูกสั่งปลดออกหรือไล่ออกหรือถูกสั่งให้ออกกรณีอื่นหรือลาออกไปแล้ว ให้สั่งย้อนหลังไปถึงวันออกจากราชการนั้น แต่ห้ามย้อนไปถึงวันก่อนเกิดเหตุในกรณีนั้น
-กรณีถูกสั่งให้พ้นจากหน้าที่ราชการตาม กม.บำเหน็จบำนาญไปแล้ว ให้สั่งย้อนหลังไปถึงวันสิ้นปีงบประมาณที่ผู้นั้นอายุครบ 60 ปี
มีเหตุอันควรต้องย้อนหลัง
-ต้องไม่เป็นการกระทำให้เสียประโยชน์ตามสิทธิโดยชอบธรรมของผู้ถูกสั่งให้ออกหรือผู้ถูกสั่งลงโทษแล้วแต่กรณี
-การสั่งให้ออกกรณีปฏิบัติหน้าที่ไม่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
-เพื่อรับบำนาญเหตุทดแทน โดยให้พิจารณาจากผลการปฏิบัติงานเป็นหลัก
-ให้ผู้บังคับบัญชาประเมินผล ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎ ก.ตร.
-ผลประเมินต่ำกว่ามาตรฐานและไม่ได้เลื่อนขั้นเงินเดือนติดต่อกัน 2 ครั้งในรอบปีงบประมาณ
-ให้โอกาสพัฒนาปรับปรุงตนเองใน 3 เดือน แต่ไม่เกิน 6 เดือน และรับการประเมิน 2 ครั้ง หากยังต่ำอีกให้ผู้บังคับบัญชาทำความเห็นเสนอผู้มีอำนาจตามมาตรา 72 สั่งให้ออกจากราชการทันที
การอุทธรณ์
-ถูกสั่งลงโทษหรือให้ออกมีสิทธิ์อุทธรณ์ภายใน 30 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง หากตายก่อนทายาทอุทธรณ์แทนได้ภายใน 30 วัน
-พิจารณาให้เสร็จและแจ้งผู้อุทธรณ์ภายใน 240 วัน ขยายเวลาได้ 2 ครั้ง ๆ ละ 60 วัน
-โทษไม่ร้ายแรง ให้อุทธรณ์ต่อผู้บังคับบัญชาของผู้สั่งลงโทษหรือ ก.ตร.
โทษร้ายแรง ให้อุทธรณ์ต่อ ก.ตร.และสามารถขอแถลงต่อวาจาประกอบได้หาก ก.ตร.อนุญาต ต้องทำเป็นหนังสือ มีสิทธิขอตรวจหรือคัดรายงานการสืบสวนสอบสวน ส่วนถ้อยคำบุคคล พยานหลักฐานหรือเอกสารเกี่ยวข้องอื่นอยู่ในดุลพินิจ
-มีสิทธิคัดค้านผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์ ถ้า รู้เห็น,มีส่วนได้เสีย,มีเหตุโกรธเคือง,เป็นผู้กล่าวหา คู่สมรส บุพการี ผู้สืบสันดาน พี่น้องร่วมบิดามารดาหรือมารดากับผู้กล่าวหา เหตุอื่นที่อาจเสียความเป็นธรรม
-อุทธรณ์ที่จะรับไว้พิจารณาได้ต้องยื่นหรือส่งภายในกำหนดเวลา
การร้องทุกข์
-ผู้บังคับบัญชาใช้อำนาจหน้าที่ปฏิบัติต่อตนไม่ถูกต้องตามระเบียบ กฎหมาย
-ร้องทุกข์ได้ภายใน 30 วัน
-ร้องทุกข์ต่อผู้บังคับบัญชาเหนือผู้บังคับบัญชาที่ทำให้เกิดทุกข์
-พิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน ขยายเวลาได้ 2 ครั้ง ๆ ละ 30 วัน
-ทีสิทธิ์คัดค้านผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจพิจารณา มีส่วนได้เสียเป็นผู้ทำให้เกิดเหตุร้องทุกข์ มีเหตุโกรธเคือง เป็นคู่สมรสฯ
วิธีการร้องทุกข์
-ทำเป็นหนังสือยื่นที่ส่วนราชการของผู้บังคับบัญชาที่มีตำแหน่งเหนือผู้บังคับบัญชาที่เป็นเหตุร้องทุกข์
-ร้องทุกข์ต่อ ก.ตร.ทำหนังสือยื่นต่อ สง.กตร.
-ยื่นหรือส่งผ่านผู้บังคับบัญชาหรือผู้บังคับบัญชาผู้เป็นเหตุร้องทุกข์ก็ได้
-ร้องทุกข์ทางไปรษณีย์ได้ วันที่ไปรษณีย์ออกใบรับฝากถือเป็นวันร้องทุกข์
ยื่นหรือส่งเอกสารร้องทุกข์เพิ่มเติมได้
ระดับการลงโทษ
-ตามตารางแนบท้ายหนังสือ ตร.ลง 6 มิ.ย.38
-มาตรฐานการลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรงของ ก.ตร.ซึ่งออกโดยมติ ก.ตร.ครั้งที่ 8/2548 ลง 15 มิ.ย.48
ยาเสพติด
เสพ ตรวจปัสสาวะพบ มีไว้ในความครอบครอง มีไว้จำหน่าย หรือมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง
ระดับโทษ ปลดออกหรือไล่ออก
ตู้แดง
ป.ป.ช.ไต่สวนกรณีเรียกเก็บเงินจุดตรวจตู้แดงเป็นรายเดือน เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานอาศัยอำนาจหน้าที่ราชการของตนเองหาผลประโยชน์ ระดับโทษลงโทษไล่ออก ตามหนังสือ ก.ตร.ลง 10 มี.ค.48
การจับกุมคดีละเมิดลิขสิทธิ์
หนังสือ ตร.ลง 23 ม.ค.49 กำชับกรณีการจับกุมคดีละเมิดลิขสิทธิ์ห้ามตำรวจที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องไปทำการจับกุม การตกลงเจรจายอมความแล้วปล่อยผู้ต้องหาโดยไม่ส่งมอบพนักงานสอบสวนถือว่าผิดวินัยอย่างร้ายแรง
ละทิ้งหน้าที่ราชการ
มติ ก.ตร.ครั้งที่ 9/2540 ลง 24 ก.ค.40 การละทิ้งหน้าที่ราชการหลายครั้งในเวลาใกล้เคียงกันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร แม้แต่ละครั้งจะเป็นเวลาไม่เกิน 15 วัน ผู้บังคับบัญชาควรพิจารณาในความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง
ความผิดเกี่ยวกับสุรา
-เสพสุราขณะปฏิบัติหน้าที่
-เมาสุราเสียราชการ
-เมาสุราในที่ชุมนุมชนเกิดเรื่องเสียหายหรือเสียเกียรติศักดิ์
-เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ระดับโทษไล่ออกหรือปลดออก
ความผิดเกี่ยวกับป่าไม้
-คุ้มครองผู้ทำไม้ผิดกฎหมาย
-ขนไม้ผิดกฎหมาย
-มีไม้ผิดกฎหมายไว้ในความครอบครอง
-ทำไม้หรือค้าไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือสนับสนุนช่วยเหลือ
-บุกรุกแผ้วถางป่าผิดกฎหมาย
-เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ระดับโทษไล่ออกหรือปลดออก
ความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน
-ยิงปืนด้วยความคึกคะนอง
-ยิงปืนในเมือง หมู่บ้าน ที่ชุมชนโดยใช่เหตุ
-มีอาวุธปืนหรือระเบิดผิดกฎหมายไว้ในครอบครอง
-นำอาวุธปืนของทางราชการไปจำนำหรือขาย
-เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ระดับโทษปลดออกหรือไล่ออก
ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www2.bpp.go.th/bpp_st4/BPPNITIK/index/complain/police%20law/traning%20discipline/traning18.pptในรูปแบบ html