ตัวอย่างคำฟ้องคดีผู้บริโภค/คดี สคบ./คดีผิดสัญญาซื้อขาย เรียกทรัพย์คืน
ศาลแขวงพระนครเหนือ
นาง พ.ที่ 1 ,นาง บ.ที่ 2, นาง น. ที่ 3 โจทก์
บริษัท บ. จำเลย
เรื่อง พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522, ผิดสัญญาเช่า
จำนวนทุนทรัพย์ - บาท
ข้อ 1. จำเลยมีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภท บริษัท จำกัด มีนาย ส. เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อ และประทับตราสำคัญของจำเลย กระทำการแทนและผูกพันจำเลย ดำเนินธุรกิจให้เช่าพื้นที่เพื่อทำการค้า รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนของนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท กรุงเทพมหานคร เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1
ข้อ 2. จำเลยได้จัดทำพื้นที่สำหรับเป็นแหล่งช็อปปิ้ง ใช้ชื่อโครงการว่า ... บนที่ดินโฉนดเลขที่ ... และแบ่งพื้นที่เป็นห้อง หรือเป็นล็อค เปิดให้พ่อค้าแม่ค้า ได้เช่าพื้นที่ขายสินค้า(ประเภทสินค้าและเครื่องประดับ) แก่ประชาชนทั่วไป โดยโฆษณาประชาสัมพันธ์ ให้คำมั่นสัญญาต่าง ๆ ในลักษณะหลอกลวงด้วยข้อความอันเป็นเท็จต่อโจทก์ทั้งสาม และผู้เช่ารายอื่น เช่น
2.1 จะจัดให้มีที่จอดรถสำหรับลูกค้าที่มาใช้บริการมากกว่า 120 คัน
2.2 จะมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ตามสื่อต่าง ๆ เช่น รายการตามสถานีวิทยุ
ต่าง ๆ กว่า 50 สถานี ,ป้ายริมทางและรถโฆษณา
2.3 จะจัดให้มีป้ายรถประจำทาง ตู้เอทีเอ็ม รวมทั้งจัดพื้นที่ให้มีสภาพแวดล้อม
เหมือนกับสวนลุมไนท์บาซ่าร์
2.4 จะจัดพิธีเปิดโครงการ และแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
2.5 จะตกแต่งสถานที่สวยงาม และอำนวยความสะดวกให้เจ้าของร้านค้าและประชาชน เช่น ปูพื้นบริเวณพื้นที่ขายสินค้า รวมทั้งมีพัดลมเพดาน ที่บังแดด จัดเก็บขยะ
2.6 จะจัดให้มีคอนเสิร์ตการแสดงของวงดนตรีต่าง ๆ
2.7 หากผู้เช่าพื้นที่ทำสัญญาแล้ว ต้องการคืนพื้นที่ ทางจำเลยยินดีคืนเงินให้
นอกจากนั้นยังหลอกลวงว่าตลาดนัดบริเวณรอบห้างฯ ...ได้ปิดกิจการแล้ว และจะไม่เปิดให้บริการอีก แต่ในความเป็นจริง จำเลยรู้อยู่แล้วว่าตลาดนัดรอบห้าง...จะต้องเปิดให้บริการอีก รายละเอียดจะเสนอต่อศาลในชั้นพิจารณาคดี
ข้อ 3. โจทก์ทั้งสามหลงเชื่อจึงเข้าจองพื้นที่และทำสัญญาเช่าพื้นที่กับโจทก์ ดังต่อไปนี้
โจทก์ที่ 1 ทำสัญญาเช่าเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2551 ห้องหมายเลข...
โจทก์ที่ 2 ทำสัญญาเช่าเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2551 ห้องหมายเลข...
โจทก์ที่ 3 ทำสัญญาเช่าเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2551 ห้องหมายเลข...
โดยสัญญามีระยะเวลาการเช่า 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 25512 จนถึงวันที่ 14 ตุลาคม 2554 เหมือนกันทุกฉบับ โดยจำเลยเก็บเงินกินเปล่าห้องละ 85,000 บาท รายละเอียดการเช่าปรากฎตามสำเนาสัญญาเช่าเอกสารท้ายฟ้องหมาย 2-5 และสำเนาใบเสร็จรับเงินเอกสารท้ายฟ้อง หมายเลข 6-9
ข้อ 4. เมื่อโจทก์ทั้งสามได้ทำสัญญาเช่าพื้นที่กับจำเลย และรับมอบพื้นที่จากจำเลยเมื่อต้นเดือนตุลาคม 2551 จำเลยเปิดให้ขายสินค้าได้ในวันที่ 30 ตุลาคม 2551 จำเลยไม่เคยปฏิบัติตามสัญญาที่ได้ประชาสัมพันธ์หรือให้คำมั่นไว้ตามข้อ 2 และการส่งมอบสถานที่ให้โจทก์ได้ครอบครองก็อยู่ในสภาพที่ไม่เรียบร้อย กล่าวคือการถ่ายเทอากาศไม่ดี หลังคารั่ว ไม่สามารถป้องกันน้ำฝนได้ มีฝุ่นมากและใช้งบประชาสัมพันธ์ที่น้อยเกินไป ขาดประสบการณ์ในการบริหารและการจัดการที่ดีพอ โจทก์ต้องตกแต่งห้องเพิ่มเติมอีกเป็นจำนวนมากกว่าที่จะควรทำ และประกาศสำคัญที่จอดรถไม่เพียงพอด้วยสาเหตุหลายประการดังกล่าว อันเป็นความผิดของจำเลย ประชาชนจึงไม่เข้ามาซื้อสินค้า ทำให้โจทก์ทั้งสามไม่สามารถขายสินค้าได้ ตามเจตนารมณ์ของการเข้าทำสัญญาเช่า และตามที่จำเลยได้ประชาสัมพันธ์หรือให้คำมั่นไว้กับโจทก์ทั้งสาม และผู้เช่ารายอื่น การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหาย ดังนี้
โจทก์ที่ 1 ได้รับความเสียหายจากเงินกินเปล่าในการเช่าห้อง 2 ห้อง ๆละ 85,000 บาท เป็นเงิน 170,000 บาท ค่าตกแต่งห้องและค่าเช่าห้องตั้งแต่ 15 ตุลาคม 2551-14 ธันวาคม 2551 เป็นเงินจำนวน 80,000 บาท รวมเป็นเงินค่าเสียหายทั้งหมด 250,000 บาท
โจทก์ที่ 2 ได้รับความเสียหายจากเงินกินเปล่าในการเช่าห้อง จำนวน 85,000 บาท ค่าเช่าห้องตั้งแต่ 15 ตุลาคม 2551-14 ธันวาคม 2551 เป็นเงินจำนวน 11,000 บาท รวมเป็นเงินค่าเสียหายทั้งหมด 125,500 บาท
โจทก์ที่ 3 ได้รับความเสียหายจากเงินกินเปล่าในการเช่าห้อง จำนวน 85,000 บาท เป็นเงิน 170,000 บาท ค่าตกแต่งห้องและค่าเช่าห้องตั้งแต่ 15 ตุลาคม 2551-14 ธันวาคม 2551 เป็นเงินจำนวน 95,000 บาท รวมเป็นเงินค่าเสียหายทั้งหมด 180,000 บาท รวมเป็นเงินค่าเสียหายที่จำเลยต้องชำระให้โจทก์ทั้งสาม จำนวน 552,500 บาท (ห้าแสนห้าหมื่นสองพันห้าร้อยบาทถ้วน) ซึ่งโจทก์ขอถือเอาทุนทรัพย์ในคดีนี้ รายละเอียดจะเสนอต่อศาลในชั้นพิจารณาคดี
ข้อ 5. โจทก์ทั้งสามได้ให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่า และเรียกให้ชำระค่าเสียหายจากจำเลย ซึ่งจำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว ปรากฏตามสำเนาหนังสือบอกเลิกสัญญาและทวงถามให้ชำระหนี้ พร้อมใบตอบรับหนังสือดังกล่าวแล้ว ปรากฏตามสำเนาหนังสือบกเลิกสัญญาและทวงถามให้ชำระหนี้ พร้อมใบตอบรับจดหมายลงทะเบียนทางไปรษณีย์ เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 11-15 แต่จำเลยยังคงเพิกเฉย โจทก์ไม่มีทางอื่นใดที่จะบังคับให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าวให้โจทก์ได้ จึงต้องขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
คำขอท้ายฟ้องคดีผู้บริโภค
ขอศาลได้โปรดออกหมายเรียกจำเลยมาพิจารณาพิพากษาและบังคับจำเลยตามคำขอต่อไปนี้
1. ให้จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 250,000 บาท ชำระเงินให้แก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 122,500 บาท ชำระเงินให้แก่โจทก์ที่ 3 จำนวน 180,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งหมด 552,500 บาท (ห้าแสนห้าหมื่นสองพันห้าร้อยบาทถ้วน) พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้นดังกล่าว นับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปกว่าจะชำระเงิน