ตัวอย่างคำฟ้องคดีผู้บริโภค/คดี สคบ./คดีผิดสัญญาซื้อขาย เรียกทรัพย์คืน
ศาลแขวงพระนครเหนือ
บริษัท ด. โจทก์
นาย พ.ที่ 1, นาย ช. ที่ 2, นางสาว ณ. ที่3 จำเลย
เรื่อง ผิดสัญญาซื้อขาย, ผิดสัญญาค้ำประกัน, เรียกทรัพย์คืน และเรียกค่าเสียหาย
จำนวนทุนทรัพย์ 300,000 บาท
ข้อ 1. โจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จดทะเบียน ณ สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีนาย ส. ประธานกรรมการลงลายมือชื่อและประทับตราบริษัทโจทก์ หรือนาย ส. และนางสาว ช. ลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราบริษัทโจทก์ จึงมีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้ ทั้งนี้ โจทก์มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการค้าเครื่องจักร เครื่องยนต์ พาหนะ และอื่น ๆ รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือรับรองบริษัทโจทก์ พร้อมรายการจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมตราประทับเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 1
ในการฟ้องและดำเนินคดีนี้ โจทก์ได้มอบอำนาจให้นาย ด. เป็นผู้มีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสามแทนโจทก์ได้ รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือมอบอำนาจ เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 2
ในการทำสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสาม โจทก์ได้มอบอำนาจให้นางสาว ล. ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2543 ได้เปลี่ยนชื่อตัวเป็น นางสาว ช. เป็นผู้มีอำนาจลงนามในสัญญาซื้อขายแทนโจทก์ และเป็นผู้มีอำนาจให้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์คันที่ซื้อขายแทนโจทก์ได้ รายละเอียดปรากฎตามหนังสือมอบอำนาจและแต่งตั้งตัวแทน และหนังสือสำคัญการเปลี่ยนชื่อตัว เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 3 และ 4
ข้อ2. เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2548 จำเลยที่ 1 ซึ่งในสัญญากับโจทก์ใช้ชื่อตัว-ชื่อสกุลว่า นาย พ. แต่ปัจจุบันขณะโจทก์ฟ้องคดีนี้ได้เปลี่ยนชื่อตัวเป็น “นาย ภ.” ได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายรถยนต์บรรทุก ยี่ห้อ นิสสัน แบบ/รุ่น หัวลากจูง สีขาว คันหมายเลขทะเบียน … หมายเลขเครื่อง …หมายเลขเครื่องยนต์ …หมายเลขตัวถังรถ… ไปจากโจทก์จำนวน 1 คัน โดยตกลงซื้อขายกันในราคา 558,112 บาท ตกลงชำระราคาค่าซื้อขายเป็นรายเดือน ในอัตราเดือนละ 15,600 บาท งวดสุดท้ายจำนวน 12,112 บาท รวม 36 งวด เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 4 พฤษภาคม 2548 และงวดต่อ ๆ ไปชำระภายในวันที่ 4 ของทุก ๆ เดือนถัดไป จนกว่าจะชำระราคาค่าซื้อขายให้แก่โจทก์ในสภาพดีเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้โจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงกันว่ากรรมสิทธิ์ในรถยนต์ที่ซื้อขายยังไม่โอนไปยังจำเลยที่ 1 จนกว่าจำเลยที่ 1 จะได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังที่ได้ระบุไว้ในสัญญาซื้อขายครบถ้วน รวมถึงการชำระราคาให้ครบถ้วนตามสัญญาซื้อขายข้อที่ 1. ด้วย และหากผิดนัดชำระราคาซื้อขายให้แก่โจทก์งวดหนึ่งงวดใด จำเลยที่ 1 ยินยอมให้ถือว่าสัญญาเป็นอันเลิกกันทันทีโดยโจทก์ไม่ต้องมีหนังสือบอกกล่าวและยินยอมให้โจทก์ริบเงินที่ได้ชำระมาแล้วเป็นของโจทก์ทั้งสิ้น และมีสิทธิเข้าครอบครองรถยนต์พร้อมอุปกรณ์ดังกล่าวได้ทันที อีกทั้งจำเลยที่ 1 เองและจำเลยที่ 1 ต้อวงรับผิดต่อโจทก์ในบรรดาค่าใช้จ่ายในการติดตามหาทรัพย์ เพราะเหตุอันเกิดจากการผิดสัญญาซื้อขาย และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนพร้อมแบบรับรองรายการทะเบียนราษฎร เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 5 และ 6
ในการทำสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้มีจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ตกลงทำสัญญาค้ำประกัน การปฎิบัติตามสัญญาขายของจำเลยที่ 1 ไว้กับโจทก์ โดยตกลงร่วมกันรับผิดกับจำเลยที่ 1 อย่างลูกหนี้ร่วม รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือสัญญาค้ำประกัน เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 7
ข้อ3. หลังจากที่จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาซื้อขาย และรับมอบรถยนต์ที่ซื้อไปจากโจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 ชำระราคาค่าซื้อขายให้แก่โจทก์เพียง 21 งวด ส่วนงวดที่ 22 จำเลยที่ 1 ชำระให้แก่โจทก์เพียง 10,000 บาท (ซึ่งไม่ถูกต้องครบถ้วนตามสัญญางวดละ 15,600 บาท ) ดังนั้นจึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระราคาค่าซื้อขายมีผลทำให้สัญญาซื้อขายเป็นอันเลิกกันทันทีโดยโจทก์ไม่ต้องบอกกล่าวและมีสิทธิริบเงินที่จำเลยที่ 1 ได้ชำระมาแล้วเป็นของโจทก์ทั้งสิ้น และมีสิทธิกลับเข้ามาครอบครองรถยนต์พร้อมอุปกรณ์ดังกล่าวได้ทันที อีกทั้งจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ของโจทก์ ด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยที่ 1 เอง และจำเลยที่ 1 กลับเพิกเฉยยังคงครอบครองและใช้ประโยชน์ของโจทก์ตลอดมา
ต่อมาเพื่อเป็นการยืนยันการบอกเลิกสัญญา โจทก์ได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาซื้อขาย ให้ส่งมอบรถยนต์คืน และให้ชดใช้ค่าเสียหายไปยังจำเลยทั้งสาม ซึ่งถือว่าจำเลยทั้งสามได้รับแล้วโดยชอบตามสัญญา ข้อ 14. แต่จำเลยทั้งสามยังคงเพิกเฉยครอบครองและใช้ประโยชน์รถยนต์ของโจทก์เรื่อยมา รายละเอียดปรากฎตามหนังสือบอกเลิกสัญญาซื้อขาย ให้ส่งมอบรถยนต์คืน และให้ชดใช้ค่าเสียหายพร้อมไปรษณีย์ตอบรับ เอกสารท้ายคำฟ้องหมาเลข 8 และ 9
ข้อ 4. การผิดนัดชำระค่าซื้อรถยนต์และไม่ส่งมอบรถยนต์คืนแก่โจทก์ ของจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ไม่ได้รับเงินค่าราคารถยนต์ที่ซื้อขายและทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ใช้สอบรถยนต์ของโจทก์ โดยโจทก์สามารถนำรถยนต์ของโจทก์ซึ่งจำเลยที่ 1 ครอบครองและใช้ประโยชน์อยู่ออกให้ผู้อื่นเช่าได้ ดังนั้นจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดแก่โจทก์ดังรายละเอียดดังต่อไปนี้
4.1 จำเลยที่ 1 ต้องส่งมอบรถยนต์บรรทุกคันที่ซื้อขายคืนแก่โจทก์ ณ ที่ทำการโจทก์ในสภาพที่เรียบร้อยและใช้การได้ดี หากส่งมอบรถยนต์คืนไม่ได้ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ราคาแทนเป็นเงินจำนวน 558,112 บาท แต่ทั้งนี้โจทก์ขอคิดราคาใช้แทนเป็นจำนวนเงินเพียง 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
4.2 จำเลยที่ 1 ต้องชำระค่าขาดประโยชน์จากการใช้ประโยชน์รถยนต์ของโจทก์ในอัตราเดือนละ 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืน หรือใช้ราคาแทนจนครบถ้วน
4.3 ดังนั้น จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ในฐานะเป็นผู้ค้ำประกันของจำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์อย่างในฐานะลูกหนี้ร่วม โดยไม่จำกัดจำนวน
โจทก์ไม่มีทางอื่นใดที่จะบังคับเอากับจำเลยทั้งสามได้ จึงต้องนำคดีขึ้นสู่ศาลเพื่อขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
คำขอท้ายฟ้องคดีผู้บริโภค
ขอศาลได้โปรดออกหมายเรียกจำเลยมาพิจารณาพิพากษาและบังคับจำเลยตามคำขอต่อไปนี้
1. ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันส่งมอบรถยนต์บรรทุกคันที่ซื้อขายคืนโจทก์ในสภาพที่เรียบร้อยและใช้การได้ดี หากส่งมอบรถคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาเป็นเงินจำนวน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอันตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือชำระราคาแทนเสร็จสิ้น
2. ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าขาดประโยชน์ใช้สอยรถยนต์ของโจทก์ในอัตราเดือนละ 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคาแทนจนครบถ้วน
3. ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแก่โจทก์