ตัวอย่างคำฟ้องคดีผู้บริโภค/คดีสคบ./ผิดสัญญา เรียกเงินคืน
ศาลจังหวัดธัญบุรี
นาย ส. โจทก์
บริษัท ท จำเลย
เรื่อง ผิดสัญญา เรียกเงินคืน
จำนวนทุนทรัพย์ 158,675 บาท
ข้อ 1. จำเลยมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเภท บริษัท จำกัด จดทะเบียน ณ สำนักงานทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัท จังหวัดปทุมธานี เดิมใช้ชื่อว่า...มีกรรมการของบริษัทมี 3 คน จำนวนหรือชื่อกรรมการซึ่งลงลายมือชื่อผูกพันได้ คือนาย ส. หรือนาย ม. คนใดคนหนึ่งลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัท มีผลผูกพันบริษัทได้ เลขทะเบียนเดิมคือ... ต่อมาเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2548 ได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็น .. ทะเบียนเลขที่ ... จำเลยมีวัตถุประสงค์ดำเนินการลงทุนซื้อที่ดินแปลงใหญ่ และแบ่งแยกออกเป็นแปลงเล็ก หรือซื้อขาย แลกเปลี่ยน เช่า ให้ซื้อที่ดิน อาคารสงเคราะห์ อาคารชุด บ้าน โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างเช่นว่านี้เป็นปกติการค้า ไม่ว่าเพื่ออยู่อาศัย การค้าหรือเพื่อการอื่นใด และวัตถุประสงค์ตามที่จดทะเบียนไว้ ดังปรากฏตามสำเนาหนังสือรับรองบริษัทจำเลย เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1
ข้อ 2. จำเลยเป็นผู้ประกอบธุรกิจผู้ผลิตเพื่อขาย ได้รับใบอนุญาตก่อสร้างเลขที่ ... เมื่อประมาณต้นปี พ.ศ. 2536 จำเลยได้ดำเนินการโฆษณาและประกาศขายห้องชุดโครงการ เคหะชุมชนคลองหลวง ซึ่งตั้งอยู่ ณ ... จำเลยอ้างว่ามีความประสงค์จะดำเนินการจัดทำโครงการสวัสดิการบ้านพักข้าราชการกองทัพอากาศขึ้นเพื่อให้พนักงานและลูกจ้างของกองทัพอากาศ ที่ยังไม่มีที่พักอาศัยเป็นตนเอง ได้มีโอกาสเป็นเจ้าของที่พักอาศัยที่มีคุณภาพในราคายุติธรรม และ จำเลยได้โฆษณาชวนเชื่อ เกี่ยวกับโครงการเคหะชุมชนคลองหลวงว่าเป็นโครงการร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน เช่น การเคหะแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กรมสวัสดิการทหารอากาศ ดังมีรายละเอียดปรากฏตามแผ่นพับโฆษณาและเอกสารเกี่ยวกับแผนผังที่ตั้ง ผังบริเวณโครงการ แบบแฟลต แบบอาคารพาณิชย์ แบบอาคารชุด ราคาขายห้องชุด โครงการเคหะชุมชน คลองหลวง จำเลยโฆษณาว่าโครงการดังกล่าวก่อสร้างในโฉฯดที่ดิน เลขที่ ... กว่า 100 ไร่ โครงการมีตลาดสด สถานที่ออกกำลังกาย สวนหย่อม โรงเรียน จำเลยเริ่มก่อสร้างภายในกำหนด 6 เดือน นับแต่วันที่ออกบัตรส่งเสริม ลงวันที่ 17 มกราคม 2537 ในเงื่อนไขที่ 1, ที่ 2 จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาไม่เกิน 30 เดือนนับแต่วันที่ออกบัตรส่งเสริม เริ่มก่อสร้างเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2536 คาดว่าน่าจะแล้วเสร็จเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2538
ข้อ 3. ต่อมาเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2537 โจทก์ตกลงทำสัญญาจองและโจทก์ผู้ซื้อ จำเลยผู้ขายได้ตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดในโครงการเคหะชุมชนคลองหลวงดังกล่าว จำนวน 1 ห้อง คือ ห้องชุดเลขที่ …รวมเนื้อที่ 38 ตารางเมตร ชั้นที่ 1 หลังที่ 5 ของอาคารชุดแบบ เอฟ 2 ในราคาเงินสด 456,000 บาท (สี่แสนห้าหมื่นหกพันบาทถ้วน) ผู้ซื้อตกลงชำระเงินล่วงหน้าให้แก่ผู้ขายจำนวน 114,000 บาท (หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นสี่พันบาทถ้วน) โดยแบ่งชำระเงินเป็นงวด จำนวน 27 งวด งวดละ 1 เดือนในอัตราแต่ละงวดดังนี้
- ชำระเงินล่วงหน้าในวันจองเป็นเงิน 2,000 บาท โดยชำระในวันทำสัญญานี้
- ชำระเงินช่วงหน้างวดที่ 1 ถึงงวดที่ 26 งวดละ 4,200 บาท
- ชำระเงินล่วงหน้างวดที่ 27 งวดละ 2,800 บาท โดยเริ่มชำระเงินล่วงหน้า
งวดที่ 1 ตั้งแต่เดือนกันยายน 2537 เป็นต้นไปทุกเดือนจนกว่าจะครบ โดยชำระเงินดังกล่าวภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน ณ สถาบันการเงินหรือสถานที่ที่ผู้ขายกำหนด เมื่อผู้ซื้อได้ชำระเงินล่วงหน้าครบถ้วนแล้ว แต่ยังมิได้โอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด ผู้ซื้อจะต้องผ่อนชำระราคาที่เหลือเป็นเงินจำนวน 342,000 บาทแล้ว ผู้ขายจะโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ซื้อได้ประมาณกลางปี พ.ศ. 2539 ดังมีรายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือจองซื้อห้องชุด สำเนาหนังสือขอส่งสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด และสำเนาสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดในโครงการเคหะชุมชนคลองหลวง เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 ต่อมาเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2540 จำเลยได้มีหนังสือแจ้งค่าใช้จ่ายในการโอนให้แก่โจทก์ทราบและแจ้งว่าโจทก์ได้ชำระเงินดาวน์จำนวน 114,000 บาทครบถ้วนแล้ว คาดว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 ต่อมาเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2542 จำเลยได้มีหนังสือถึงโจทก์ให้ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดดังกล่าวในวันที่ 19 มีนาคม 2542 นั้น ความจริงแล้วปรากฏว่า โครงการเคหะชุมชนคลองหลวงดังกล่าวที่จำเลยดำเนินการยังไม่เสร็จสมบูรณ์ตามสัญญาและตามที่จำเลยได้โฆษณาตามโบว์ชัวน์ กล่าวคือ ไม่ก่อสร้าง ตลาดสด สถานที่ออกกำลังกาย สวนหย่อม โรงเรียนอนุบาลและอื่น ๆ ยังไม่ได้ดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จ ส่วนความละเอียดโจทก์จะได้รับประทานกราบเรียนเสนอต่อศาลในชั้นพิจารณาต่อไป ดังนั้น โดยหนังสือพิมพ์ฉบับนี้โจทก์จึงขอให้จำเลยดำเนินการก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ดังที่กล่าวมาแล้วนั้นให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือนี้หากจำเลยเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามภายในระยะเวลาดังกล่าวถือว่าจำเลย เป็นฝ่ายผิดสัญญากับโจทก์ และขอถือหนังสือฉบับนี้แทนการแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาพร้อมทั้งขอให้จำเลยชำระเงินจำนวน 115,400 บาท (หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นห้าพันสี่ร้อยบาทถ้วน) ได้รับจากโจทก์แล้วคืนพร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย ดังมีรายละเอียดปรากฏตามหนังสือขอโต้แย้งในการโอนกรรมสิทธิ์และขอให้ปฏิบัติตามสัญญา จำเลยได้รับหนังสือของโจทก์แล้วแต่ยังเพิกเฉยอยู่อีก เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5
โจทก์ขอประทานกราบเรียนต่อศาลตามความจริงว่า นับตั้งแต่วันทำสัญญา จนถึงวันที่ 3 มกราคม 2544 เป็นเวลา 6 ปี 5 เดือน จำเลยไม่ได้ดำเนินการดังกล่าวข้างต้นให้เสร็จสิ้นตามที่ได้โฆษณาไว้ ดังมีรายละเอียดตามสำเนาหนังสือบันทึกร้องเรียน เรื่อง ที่ดิน บ้ายจัดสรรที่ดิน หรืออาคารชุด โครงการ เคหะชุมชนคลองหลวงพร้อมสำเนาใบตอบรับ เอกสารหมายเลข 6
ต่อมาเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2544 โจทก์ได้มีหนังสือขอความเป็นธรรมเกี่ยวกับโครงการเหคะชุมชนคลองหลวงต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ทำเนียบรัฐบาล ได้รับแจ้งว่าเป็นการโต้แย้งส่วนตัว หากผู้ร้องเห็นว่ายังไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็ย่อมจะใช้สิทธิตามศาลเพื่อจะดำเนินการแก่จำเลยด้วยตนเอง ดังมีรายละเอียดปรากฎตามสำเนาหนังสือขอความเป็นธรรม เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 7
ข้อ 4. การกระทำดังกล่าวข้างต้นของจำเลย เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย กล่าวคือ การที่จำเลยก่อสร้างแฟลตห้องชุดดังกล่าวเพียงอย่างเดียว และโครงการยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ตามสัญญาและตามที่จำเลยได้โฆษณาไว้ อาทิเช่น ไม่ก่อสร้างตลาดสก สถานที่ออกกำลังกาย สวนหย่อม โรงเรียนอนุบาล และอื่น ๆ ตามสัญญาและที่โฆษณาไว้ เนื้อที่ไม่ถึง 100 ไร่ ฉะนั้นจำเลยมิได้สร้างอาคารแฟลตให้เต็มตามโครงการที่ได้โฆษณาไว้ ย่อมทำให้ทำเลที่ตั้งของอาคารแฟลตของโครงการดังกล่าวที่สร้างขึ้น แตกต่างเป็นคนละอย่างไม่เหมือนทำเลที่ตั้งตามแผนผังโฆษณา ถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญา โจทก์ก็มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้โดยไม่ต้องคำนึงว่าตลาดสด สถานที่ออกกำลังกาย สวนหย่อม โรงเรียนอนุบาลและอื่น ๆ เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกของอาคารแฟลตห้องชุดหรือไม่ หรือจำเลยเคยแจ้งให้โจทก์มารับโอนห้องชุดพร้อมที่ดินที่จองไว้หรือผู้ซื้อรายอื่นยอมรับโอนห้องชุดจากจำเลย ก็ไม่ทำให้จำเลยพ้นจากการเป็นผู้ผิดสัญญาแต่ประการใด เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญากับจำเลย ทางไปรษณีย์ตอบรับจ่าหน้าซองส่งถึงจำเลย ตามภูมิลำเนา และมีผู้ลงลายมือชื่อรับไว้ ย่อมถือได้ว่าการบอกเลิกสัญญาดังกล่าวของโจทก์มีผลนับแต่ที่หนังสือบอกเลิกสัญญาส่งถึงจำเลยแล้ว การบอกเลิกสัญญาของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย ฉะนั้นจำเลยต้องรับผิดชดใช้เงินจำนวน 115,400 บาท คืนให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 16 เมษายน 2548 จนถึงวันฟ้อง (10 เมษายน 2552) เป็นเวลา 5 ปี คิดเป็นเงินดอกเบี้ยจำนวน 43,275 บาท รวมเป็นเงินต้นและดอกเบี้ยจำนวน 158,675 บาท (หนึ่งแสนห้าหมื่นแปดพันหกร้อยเจ็ดสิบห้าบาทถ้วน) และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์
โจทก์ไม่มีทางอื่นที่จะบังคับเอากับจำเลยได้ จำต้องนำคดีนี้มาฟ้องขอบารมีศาลเป็นที่พึ่งต่อไป
อนึ่ง คดีนี้มูลคดีเกิดขึ้น ณ อาคารที่ 5 ชั้นที่ 1 ห้องชุดเลขที่ 29 อาคารชุดแบบเอฟ 2 โครงการเคหะชุมชนคลองหลวง จ.ปทุมธานี โจทก์จึงขอประทานกราบเรียนศาลได้โปรดอนุญาตให้โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดธัญบุรี ซึ่งเป็นศาลที่มูลคดีเกิด ขอประทานศาลได้โปรดอนุญาต
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
คำขอท้ายฟ้องคดีผู้บริโภค
ขอศาลโปรดออกหมายเรียกจำเลยมาพิจารณาพิพากษาและบังคับจำเลยตามคำขอต่อไปนี้
1. ให้จำเลยชำระเงิน จำนวน 158,675 บาท (หนึ่งแสนห้าหมื่นแปดพันหกร้อยเจ็ดสิบห้าบาทถ้วน) พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 115,400 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์