ตัวอย่างคำฟ้องคดีผู้บริโภค/คดีสคบ./ผิดสัญญากู้ยืม
ศาลจังหวีดมีนบุรี
นาย ส. โจทก์
นาย พ. จำเลย
เรื่อง ผิดสัญญากู้ยืม
จำนวนทุนทรัพย์ 400,899 บาท 78 สตางค์
ข้อ 1. เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2548 จำเลยได้ทำสัญญากู้ยืมเงินกับโจทก์ จำนวน 300,000 บาท (สามแสนบาทถ้วน) ในวันทำสัญญากู้ยืมจำเลยได้รับเงินกู้ไปจากโจทก์จำนวน 20,000 บาท (สองหมื่นบาทถ้วน) ส่วนที่เหลืออีกจำนวน 280,000 บาท (สองแสนแปดหมื่นบาทถ้วน) จำเลยได้รับเงินไปจากโจทก์ครบถ้วนแล้วเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2548 โดยจำเลยตกลงชำระหนี้ให้แก่โจทก์โดยการโอนหุ้น บริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) จำนวน 17,735 หุ้น ให้แก่โจทก์เป็นระยะเวลา ตามเงื่อนไขการปลดล๊อคหุ้น ของบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) รายละเอียดปรากฎตามสำเนาหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน เอกสารแนบท้ายคำฟ้องหมาย 1
ข้อ 2. ต่อมาเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2549 โจทก์ได้รับแจ้งจากจำเลยว่า ไม่สามารถโอนหุ้นบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) จำนวน 17,735 หุ้น เพื่อชำระหนี้เงินกู้จำนวน 300,000 บาท (สามแสนบาทถ้วน) ให้แก่โจทก์ตามสัญญาได้ เนื่องจากศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งเพิกถอนพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจสิทธิและประโยชน์ของบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2548 และพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2548 โดยเห็นว่าการเปลี่ยนทุนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเป็นหุ้นบริษัท กฟผ.จำกัด (มหาชน) ไม่ชอบด้วยกฎหมาย รายละเอียดปรากฎตามสำเนาคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดเอกสารแนบท้ายคำฟ้องหมาย 2
ดังนั้น เมื่อจำเลยไม่สามารถโอนหุ้นจำนวน 17,735 หุ้น เพื่อชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์ได้ จำเลยจึงมีหน้าที่ชำระหนี้เงินกู้จำนวน 300,000 บาท (สามแสนบาทถ้วน) คืนแก่โจทก์ โจทก์ได้บอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้จำนวนดังกล่าวคืนแก่โจทก์หลายครั้ง แต่จำเลยกลับเพิกเฉย
ข้อ 3. การกระทำของจำเลยดังกล่าวข้างต้นถือว่าเป็นการประพฤติผิดสัญญากู้ยืมเงินและ เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ไม่ได้รับชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ย จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องรับผิดต่อโจทก์ชำระต้นเงินจำนวน 300,000 บาท (สามแสนบาทถ้วน) พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินจำนวนดังกล่าวคืนแก่โจทก์ นับตั้งแต่วันที่จำเลยรับเงินกู้ยืมไปจากโจทก์ คิดเป็นดอกเบี้ย 73,117.81 บาท (เจ็ดหมื่นสามพันหนึ่งร้อยสิบเจ็ดบาทแปดสิบเอ็ดสตางค์)รวมเป็นต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยจำนวน 373,117.81 บาท (สามแสนเจ็ดหมื่นสามพันหนึ่งร้อยสิบเจ็ดบาทแปดสิบเอ็ดสตางค์) รายละเอียดปรากฎตามสำเนาตารางคำนวณดอกเบี้ย เอกสารแนบท้ายคำฟ้องหมาย 3 ซึ่งโจทก์ขอถือเอาเป็นทุนทรัพย์ในการฟ้องคดีนี้
ก่อนฟ้องและดำเนินคดีนี้กับจำเลย โจทก์ได้มอบหมายให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้คืนโจทก์ จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถามแล้วเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2552 แต่จำเลยกลับเพิกเฉย รายละเอียดปรากฎตามสำเนาหนังสือบอกกล่าวทวงถามพร้อมไปรษณีย์ตอบรับภายในประเทศ เอกสารแนบท้ายคำฟ้องหมาย 4 และหมาย 5 ตามลำดับ
โจทก์ไม่มีทางอื่นใดที่จะบังคับเอากับจำเลยได้ จึงต้องนำคดีมาฟ้องต่อศาลเพื่อขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
คำขอท้ายฟ้องคดีผู้บริโภค
ขอศาลได้โปรดออกหมายเรียกจำเลยมาพิจารณาพิพากษาและบังคับจำเลยตามคำขอต่อไปนี้
1. ให้จำเลยชำระเงิน แก่โจทก์จำนวน 373,117.81 บาท (สามแสนเจ็ดหมื่นสามพันบาทหนึ่งร้อยสิบเจ็ดบาทแปดสิบเอ็ดสตางค์) พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 300,000 บาท (สามแสนบาทถ้วน) นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์