ตัวอย่างคำฟ้องคดีผู้บริโภค/คดีสคบ./ผิดสัญญาซื้อขาย
ศาลจังหวัดธัญบุรี
บริษัท ร. โดนนาย ส. กรรมการผู้มีอำนาจ โจทก์
หจก.บ. ที่ 1, นาย ค. ที่ 2 จำเลย
เรื่อง ผิดสัญญาซื้อขาย รับสภาพหนี้
จำนวนทุนทรัพย์ 290,168 บาท 92 สตางค์
ข้อ 1.โจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการค้าเครื่องเหล็ก เครื่องทองเหลือง ทองแดงทุกชนิด ท่อเหล็ก เหล็กเส้น เหล็กฉากและเหล็กแผ่น โดยลำพังมีนาย ส. เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัท สามารถกระทำการแทนบริษัทได้ รายละเอียดปรากฎตามสำเนาหนังสือรับรองการเป็นนิติบุคคลของโจทก์ เอกสารแนบท้ายคำฟ้องหมาย 1
จำเลยที่ 1 มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการ รับเหมาก่อสร้างทุกประเภท งานโครงสร้าง ระบบไฟฟ้า และสิ่งอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องชนิด โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการซึ่งต้องรับผิดในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนอย่างไม่จำกัดจำนวน มีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 สามารถกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ได้ รายละเอียดปรากฎตามสำเนาหนังสือรับรองการเป็นนิติบุคคลของจำเลยที่ 1 เอกสารแนบท้ายคำฟ้องหมาย 2
ข้อ 2. เมื่อระหว่างวันที่ 3 ธันวาคม 2548 ถึงวันที่ 16 ธันวาคม 2548 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้สั่งซื้อสินค้าประเภทเหล็กตัวซีพับ เหล็กแบน แป๊ปโปร่ง เพลา จากโจทก์เพื่อนำไปใช้ในกิจการของจำเลยทั้งสองจำนวนหลายครั้งหลายคราว รวมเป็นเงินค่าสินค้าจำนวนทั้งสิ้น 242,194.50 บาท (สองแสนสี่หมื่นสองพันหนึ่งร้อยเก้าสิบสี่บาทห้าสิบสตางค์) โดยจำเลยทั้งสองได้รับสินค้าที่สั่งซื้อทั้งหมดไปจากโจทก์ครบถ้วนแล้วและตกลงว่าจะชำระราคาค่าสินค้าให้โจทก์ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่จำเลยทั้งสองได้รับสินค้าจากโจทก์ในแต่ละครั้ง
การซื้อสินค้าทุกครั้งมีรายละเอียดวันที่ซื้อ ชนิด ปริมาณ และราคาสินค้า ตลอดจนกำหนดวันชำระเงินค่าสินค้า รายละเอียดปรากฏตามสำเนาใบกำกับภาษี/ใบแจ้งหนี้/ใบส่งของ เอกสารแนบท้ายคำฟ้องหมาย 3
ข้อ 3. เมื่อหนี้ค่าสินค้าถึงกำหนดชำระในแต่ละครั้ง โจทก์เรียกให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้แก่โจทก์หลายครั้ง แต่จำเลยทั้งสองคงเพิกเฉย ต่อมาเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2549 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ตกลงทำหนังสือรับสภาพหนี้กับโจทก์ โดยยอมรับว่ามีหนี้ค้างชำระค่าสินค้าเป็นเงินจำนวน 242,194.50 บาท (สองแสนสี่หมื่นสองพันหนึ่งร้อยเก้าสิบสี่บาทห้าสิบสตางค์) แต่ไม่ได้กำหนดระยะเวลาในการชำระหนี้ไว้ รายละเอียดปรากฎตามสำเนาหนังสือรับสภาพหนี้ เอกสารแนบท้ายคำฟ้องหมาย 4
หลังจากที่จำเลยทั้งสองตกลงทำหนังสือรับสภาพหนี้ โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ค่าสินค้าตามหนังสือรับสภาพหนี้หลายครั้ง แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ต่อมาเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2552 และเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2552 โจทก์ได้มอบหมายให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามเพื่อให้จำเลยทั้งสองชำระเงินค่าสินค้า จำเลยทั้งสองได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถามแล้ว เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2552 และเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2552 แต่จำเลยทั้งสองยังคงเพิกเฉยไม่ชำระหนี้ค่าสินค้าให้แก่โจทก์ รายละเอียดปรากฎตามสำเนาหนังสือบอกกล่าวทวงถามและไปรษณีย์ตอบรับ เอกสารแนบท้ายคำฟ้องหมาย 5 และ 6 ตามลำดับ
ข้อ 4. การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้าที่จำเลยทั้งสองได้สั่งซื้อไปจากโจทก์ จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ทั้งในฐานะส่วนตัวและในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการซึ่งต้องรับผิดในบรรดาหนี้ของห้างอย่างไม่จำกัดจำนวน มีหน้าที่ต้องร่วมกันชำระเงินค่าสินค้าให้แก่โจทก์ จำนวน 242,194.50 บาท (สองแสนสี่หมื่นสองพันหนึ่งร้อยเก้าสิบสี่บาทห้าสิบสตางค์) พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 29 กันยายน 2549 จนถึงวันฟ้อง เป็นเวลา 964 วัน คิดเป็นดอกเบี้ย จำนวน 47,974.42 บาท (สี่มื่นเจ็ดพันเก้าร้อยเจ็ดสิบสี่บาทสี่สิบสองสตางค์) รวมเป็นต้นเงินแลtดอกเบี้ย จำนวน 290,168.92 บาท (สองแสนเก้าหมื่นหนึ่งร้อยหกสิบแปดบาทเก้าสิบสองสตางค์) ซึ่งโจทก์ขอถือเป็นทุนทรัพย์ในคดีนี้ รายละเอียดปรากฏตามตารางคำนวณดอกเบี้ย เอกสารแนบท้ายคำฟ้องหมาย 7
โจทก์ไม่มีทางอื่นใดที่จะบังคับเอากับจำเลยทั้งสองได้ จึงต้องนำคดีมาฟ้องเพื่อขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
คำขอท้ายฟ้องคดีผู้บริโภค
ขอศาลได้โปรดออกหมายเรียกจำเลยมาพิจารณาพิพากษาและบังคับจำเลยตามคำขอต่อไปนี้
1. ให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน แก่โจทก์จำนวน 290,168.92 บาท (สองแสนเก้าหมื่นหนึ่งร้อยหกสิบแปดบาทเก้าสิบสองสตางค์) พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 242,194.50 บาท (สองแสนสี่หมื่นสองพันหนึ่งร้อยเก้าสิบสี่บาทห้าสิบสตางค์) นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์