ตัวอย่างคำฟ้อง/คดีหนี้บัตรเครดิต/คดีคุ้มครองผู้บริโภค
ศาล แขวงพระนครใต้
ธนาคาร กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) โดยนาย ศ. ผู้รับมอบอำนาจ โจทก์
นาย ท. จำเลย
เรื่อง ผิดสัญญา(บัตรเครดิต) ,เรียกให้ชำระหนี้
จำนวนทุนทรัพย์ 66,894 บาท 15 สตางค์
ข้อ 1. โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชน จำกัด (เดิมโจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัท จำกัด ทะเบียนเลขที่ 940 ต่อมาเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2536 โจทก์ได้จดทะเบียนแปรสภาพเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชน จำกัด ทะเบียนเลขที่ บมข.105) มีนาย บ. หรือ นาย ป คนใดคนหนึ่งลงลายมือชื่อร่วมกับ นาย ภ. รวมเป็นสองคนลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัท กระทำการแทนในนามโจทก์ก็ได้ โดยมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ รายละเอียดปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือรับรองบริษัท เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1
โจทก์โดยนาย ภ. และนาย ป. กรรมการผู้มีอำนาจ ได้มอบอำนาจให้นายศ. เป็นผู้มีอำนาจฟ้องร้องและดำเนินคดีแทนโจทก์ได้ รวมทั้งให้มีอำนาจช่วงได้ด้วย รายละเอียดปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจ เอกสารท้ายฟ้องหมาย 2
ข้อ 2. เมื่อประมาณเดือน พฤศจิกายน 2546 จำเลยได้ยื่นคำขอสมัครเป็นสมาชิกผู้ถือบัตรและทำสัญญาการใช้บัตรเครดิตของธนาคารกสิกรไทย ให้ไว้กับธนาคารโจทก์ได้โดยโจทก์ได้ออกบัตรเครดิต หมายเลข 4921-4150-9166-6352 ให้แก่จำเลย โดยอนุมัติวงเงินจำนวน 50,000 บาท เพื่อนำบัตรเครดิตดังกล่าวไปใช้แทนการชำระเงินสดค่าซื้อสินค้า ค่าบริการต่าง ๆ จากสถานประกอบการค้าหรือร้านค้าที่ตกลงรับชำระบัตรเครดิตของโจทก์ และใช้บัตรเครดิตประกอบรหัสประจำตัวในการเบิก-ถอนเงินสดจากสาขาของธนาคารโจทก์ หรือธนาคารสมาชิก หรือจากเครื่องฝาก-ถอนเงินอัตโนมัติของโจทก์หรือสถาบันการเงินอื่น ทีมีข้อตกลงกับโจทก์ทั้งภายในและต่างประเทศ โดยจำเลยตกลงเสียค่าธรรมเนียมในการใช้บัตรให้แก่โจทก์ตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารโจทก์จะจัดทำบัญชีโดยการลงรายการดังกล่าวในใบแจ้งยอดบัญชีบัตรเครดิตของจำเลย แสดงรายการและยอดเงินค่าธรรมเนียมเป็นลูกหนี้ธนาคารโจทก์ และเมื่อโจทก์ได้ออกเงินชำระแทนจำเลย ให้กับสถานประกอบการค้าหรือร้านค้าต่าง ๆ ตามที่สถานประกอบการค้าหรือร้านค้าสมาชิก เรียกเก็บเงินจากการใช้บัตรเครดิตดังกล่าว มายังธนาคารโจทก์ โจทก์จะจัดทำใบแจ้งยอดบัญชีบัตรเครดิตดังกล่าวเป็นรายเดือน แจ้งให้จำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามวันที่กำหนดในใบแจ้งยอดบัญชี หากจำเลยตรวจสอบแล้วรายการใดไม่ถูกต้องจำเลยจะต้องแจ้งให้โจทก์ทราบภายใน 15 วัน หากพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวให้ถือว่ารายการทั้งหมดในใบแจ้งยอดบัญชีเป็นรายการที่ถูกต้อง จำเลยและธนาคารโจทก์ตกลงให้มีการหักทอนบัญชีบัตรเครดิต ซึ่งมียอดเงินเป็นลูกหนี้ธนาคารโจทก์กับบัญชี ซึ่งมียอดเงินเป็นเจ้าหนี้ธนาคารโจทก์ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการของธนาคารโจทก์ ตามกำหนดเวลาในวันที่ถึงกำหนดชำระ/หักบัญชี ตามที่ระบุไว้ในใบแจ้งยอดบัญชีบัตรเครดิต ในกรณีที่ธนาคารโจทก์ได้ดำเนินการหักทอนบัญชีแล้ว ปรากฏว่าในบัญชีบัตรเครดิตของผู้ถือบัตรเครดิตยังมีรายการแสดงยอดเงินที่ค้างชำระเป็นลูกหนี้ธนาคารโจทก์ จำเลยตกลงเสียดอกเบี้ยให้ธนาคารโจทก์จากยอดเงินที่ค้างชำระตามที่ปรากฏในบัญชีบัตรเครดิตของจำเลย ในอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้าผู้ให้กู้เงินผิดนัดชำระหนี้และให้เปลี่ยนแปลงเรื่อยไป ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยโดยให้ดอกเบี้ยเป็นรายวันและมีกำหนดส่งเป็นรายเดือนทุกวันครบกำหนดหักทอน ตามที่ระบุไว้ หากจำเลยผู้ถือบัตรผิดนัดไม่นำเงินเข้าบัญชีบัตรเครดิตของจำเลย ตามจำนวนและกำหนดเวลาที่ระบุไว้ จำเลยยินยอมให้ธนาคารโจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราที่ค้างชำระในอัตราสูงสุด ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศธนาคารโจทก์ ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นในบัญชีบัตรเครดิตของจำเลยไปจนกว่าบัตรเครดิตของจำเลยและไม่แสดงรายการยอดเงินเป็นลูกหนี้ธนาคารโจทก์ ในกรณีที่จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดที่ระบุไว้ในใบแจ้งยอดบัญชีรายเดือน จำเลยยินยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยปรับในกรณีชำระหนี้ล่าช้าหรือกรณีผิดนัด โดยโจทก์คิดค่าปรับในอันตราครั้งละ 100 บาท รายละเอียดปรากฎตามสำเนาภาพถ่ายใบสมัครสมาชิกบัตรเครดิต เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3
ข้อ 3. เมื่อโจทก์ได้ออกบัตรเครดิตตามข้อ 2. ให้กับจำเลยแล้ว จำเลยได้นำบัตรเครดิตดังกล่าวที่โจทก์ออกให้ไปใช้เสมอมา โดยจำเลยได้นำบัตรเครดิตไปใช้แทนเงินสด ชำระค่าสินค้าหรือบริการ ตลอดทั้งใช้เบิกเงินสดตามวิธีการที่กล่าวในข้อ 2. และโจทก์ได้ชำระแทนแก่จำเลยให้แก่สถานประกอบการค้าต่าง ๆ ไปแล้ว และโจทก์ได้ส่งใบแจ้งยอดบัญชีการใช้จ่ายตามรายการต่าง ๆ ที่จำเลยได้ใช้ไป เรียกเก็บเงินจากจำเลย แต่จำเลยได้ชำระหนี้แก่โจทก์เพียงบางส่วน สำหรับยอดหนี้ที่ค้างชำระในแต่ละเดือน โจทก์ได้คิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมผิดนัดในอัตราที่กำหนดไว้ในสัญญาข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้บัตร โดยคำนวณยอดหนี้ค้างชำระ ณ วันที่ 17 กันยายน 2550 จำเลยคงค้างชำระหนี้เป็นเงินต้น จำนวน 48,345.67 บาท ดอกเบี้ยผิดนัดชำระจำนวน 4,019.94 น. และค่าปรับผิดนัดชำระจำนวน 4,019.94 บาท และค่าปรับผิดนัดชำระจำนวน 0.00 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 52,374.61 บาท ซึ่งจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระคืนแก่โจทก์ แต่จำเลยหาได้ชำระไม่ รายละเอียดปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายใบแจ้งยอดบัญชีบัตรเครดิต และรายการสรุปการใช้บัญชีบัตรเครดิต เอกสารท้ายฟ้องหมาย 4-5
และนอกจากนี้ จำเลยยังต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยผิดนัดให้แก่โจทก์อีก ซึ่งโจทก์ได้คำนวณหลายช่วงหลายอัตราจากต้นเงิน จำนวน 48,3543.67 บาท นับแต่วันที่ 18 กันยายน 2550 ถึงวันฟ้อง ซึ่งอัตราสุดท้ายโจทก์คิดอันตราร้อยละ 20 ต่อปี คิดเป็นดอกเบี้ยผิดนัดชำระจำนวน 15,519.54 บาท เมื่อรวมดอกเบี้ยการผิดนัดตามเอกสารท้ายฟ้องหมาย 5 จำนวน 40,019.94 บาทแล้ว จึงรวมเป็นดอกเบี้ยผิดนัดชำระทั้งสิ้นจำนวน 18,539.48 บาท ดังนั้น จำเลยมีหน้าที่ต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ถึงวันฟ้อง ดังนี้ เงินต้นจำนวน 48,354.67 บาท ดอกเบี้ยผิดนัดชำระจำนวน 18,539.48 บาท และค่าปรับผิดนัดชำระจำนวน 0.00 บาท รวมเป็นหนี้ถึงวันฟ้องที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสิ้นจำนวน 66,894.15 บาท รายละเอียดปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายรายการสรุปการใช้บัตรเครดิตและดอกเบี้ย เอกสารท้ายฟ้องหมาย 6
ในการคิดดอกเบี้ยจากจำเลยนั้น โจทก์ได้คิดดอกเบี้ยโดยอาศัยอำนาจตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศกระทรวงการคลัง และประกาศธนาคารโจทก์ที่ได้ประกาศใช้ในขณะนั้น รายละเอียดปรากฎตามสำเนาตามภาพถ่ายประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศกระทรวงการคลัง และประกาศธนาคารโจทก์ เอกสารท้ายฟ้องหมาย 7-9
ก่อนฟ้องโจทก์ได้พยายามติดตามทวงถามให้จำเลยชำระหนี้หลายครั้งหลายหนแต่จำเลยก็เพิกเฉยไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ รายละเอียดปรากฎตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือทวงถามเอกสารท้ายฟ้องหมาย 10
โจทก์ไม่มีทางอื่นใดที่จะบังคับเอากับจำเลยได้ จึงต้องนำคดีมาฟ้องศาล เพื่อขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
คำขอท้ายฟ้องคดีผู้บริโภค
ขอศาลโปรดออกหมายเรียกจำเลยพิจารณาพิพากษาและบังคับจำเลยตามคำขอต่อไปนี้
1.ให้จำเลยชำระเงิน จำนวน 66,894.15 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตรา
ร้อยละ 20 ต่อปี ของเงินต้นจำนวน 48,354.67 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์