ตัวอย่างคำฟ้องคดีผู้บริโภค/คดีสคบ./คดีคุ้มครองผู้บริโภค
ศาลจังหวัดมีนบุรี
ธนาคาร ทหารไทย จำกัด (มหาชน) โดยนาย ป. ผู้รับมอบอำนาจช่วง โจทก์
นาย น. จำเลย
เรื่อง ผิดสัญญาสินเชื่อเบิกเงินเกินบัญชี
จำนวนทุนทรัพย์ 111,101 บาท 44 สตางค์
ข้อ 1 โจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภท บริษัทมหาชน จำกัด มีนาย ส. เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัท กระทำการในนามโจทก์ โดยมีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ ปรากฏตามภาพถ่ายหนังสือรับรองการเป็นนิติบุคคล เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1
โจทก์ได้มอบอำนาจให้นาย อ. เป็นผู้มีอำนาจให้อำนาจฟ้องและดำเนินการแทนโจทก์ ตลอดจนมีอำนาจมอบอำนาจช่วงให้บุคคลอื่นดำเนินการแทนได้ รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือมอบอำนาจ เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 2
ในคดีนี้ นาย อ. ได้มอบอำนาจช่วงให้ นาย พ. และ/หรือ นาย ป. หรือ นางสาว น. เป็นผู้รับมอบอำนาจฟ้องและดำเนินคดีแทน ปรากฏตามภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจช่วง เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3
ข้อ 2 เมื่อเดือนพฤษภาคม 2549 จำเลยได้ยื่นคำขอกู้ยืมเงินจากโจทก์ ประเภทวงเงินเบิกเงินเกินบัญชี (CreditPlus) โดยจำเลยตกลงว่า วงเงินสินเชื่อที่จำเลยได้รับจากธนาคารฯ ภายใต้สัญญาฉบับนี้เป็นวงเงินสินเชื่อเบิกเงินเกินบัญชีประเภทหมุนเวียน ซึ่งจำนวนเงินสินเชื่อสูงสุดที่จำเลยสามารถเบิกถอนได้ในขณะหนึ่งจะเท่ากับส่วนต่างของวงเงินสินเชื่อที่โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบเป็นครั้งคราว กับยอดรวมของจำนวนต้นเงินก็ที่จำเลยได้เบิกถอนไป และยังมิได้ชำระคืนให้แก่โจทก์ และโจทก์อาจเปลี่ยนแปลงวงเงินสินเชื่อที่โจทก์ให้แก้จำเลยตามสัญญา โดยให้มีจำนวนมากขึ้น หรือน้อยลงได้ตามดุลยพินิจของธนาคารโจทก์ ทั้งที่จำเลยตกลงและรับทราบว่าวงเงินสินเชื่อที่จำเลยได้รับจากโจทก์ ในขณะหนึ่งจะปรากฏอยู่บนใบรายงานบัญชีเครดิตพลัส/ใบกำกับภาษี ที่โจทก์จัดส่งให้แก่จำเลย และเพื่อประโยชน์ในการปฎิบัติตามสัญญาดังกล่าว จำเลยตกลงและยินยอมให้โจทก์ เปิดบัญชีกระแสรายวันแบบพิเศษ จำนวน 1 บัญชีไว้กับธนาคารโจทก์ พร้อมการให้ตัวอย่างลายมือชื่อกับโจทก์ เพื่อใช้ลายมือชื่อตามตัวอย่างสำหรับการใช้บริการ เครดิตพลัส และตัวอย่างลายมือชื่อนี้ จะเป็นลายมือชื่อเดียวกับที่จำเลยใช้ลงนาม เพื่อการเบิกถอนเงินของบรอการ เครดิตพลัสจากโจทก์ และในการเบิกถอนต้นเงินกู้ดังกล่าวจำเลยสามารถเบิกถอนต้นเงินกู้ได้โดยวิธีการเบิกถอนเงินสด ผ่านบัตรเงินสด คู่กับรหัสประจำตัว ในการเบิกถอนจากเครื่องฝากและถอนเงินอัตโนมัติ (ตู้ ATM POOL ทั่วประเทศ) หรือ เบิกถอนเงินผ่านเคาร์เตอร์ของธนาคารฯ ที่จำเลยใช้บริการ เครดิตพลัส หรือการสั่งจ่ายเช็ค โดยสั่งจ่ายให้แก่บุคคลใดโดยเฉพาะเจาะจง หรือผู้ถือ หรือการเบิกถอนเงินด้วยบริการธนาคารทางโทรศัพท์ ถือว่าจำเลยได้รับเงินในวันที่ธนาคารได้โอนเงินตามคำสั่งของจำเลย หรือการเบิกถอนเงินกู้โดยวิธีอื่น ๆ ในการชำระคืนต้นเงินที่ได้เบิกถอนไปจากโจทก์ โจทก์จะออกใบรายงานบัญชีเครดิตพลัส/ใบกำกับภาษี แจ้งให้จำเลยทราบทุกเดือน และหากมีข้อผิดพลาด หรือไม่ถูกต้อง จำเลยต้องแจ้งให้โจทก์ ได้ออกบรายการบัญชีเครดิตพลัส / ใบกำกับภาษี มิฉะนั้นจะถือว่าจำเลยเห็นชอบด้วยกับรายการดังกล่าว และจำเลยตกลงชำระคืนให้แก่ธนาคารในแต่ละเดือนจะเท่ากับอัตราร้อยละ 4 ของจำนวนต้นเงินกู้ทั้งหมดที่จำเลยได้เบิกถอน และยังมิได้ชำระคืนให้แก่โจทก์รวมส่วนของดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ หรือจำนวน 200 บาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า หากจำเลยไม่สามารถชำระคืนเงินกู้ตามจำนวนจำนวนขั้นต่ำที่ธนาคารฯ ได้แจ้งให้ทราบในแต่ละเดือนภายในเวลาที่ธนาคารฯ กำหนด จำเลยตกลงและยินยอมชำระเบี้ยปรับจำนวนที่จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระคืนให้แก่โจทก์ ในเดือนนั้นตามระบุไว้ในข้อกำหนดเงื่อนไขสัญญาสินเชื่อทหารไทยโอนเงินกู้ประเภทเบิกเงินเกินบัญชี และโจทก์มีสิทธิเปลี่ยนแปลงเบี้ยปรับดังกล่าว โดยโจทก์แจ้งให้จำเลยทราบล่วงหน้าเป็นครั้งคราว นอกจากนี้จำเลยต้องรับผิดในการชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี และรับผิดชอบดอกเบี้ยกรณีใช้เกินวงเงินในอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ทั้งที่จำเลยตกลงให้โจทก์ คิดดอกเบี้ยดังกล่าว โดวิธีคำนวณดอกเบี้ยทบต้น ตามธรรมเนียมและประเพณีปฎิบัติของธนาคาร และจำเลยตกลงจะปฏิบัติและผูกพันตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของสัญญาให้สินเชื่อ หรือข้อกำหนดเงื่อนไขอื่นที่ระบุในใบสมัคร รวมทั้งข้อกำหนดและเงื่อนไขในการใช้เช็ค บัตรเงินสด และบริการธนาคารฯทางโทรศัพท์ และข้อกำหนดและเงื่อนไขใด ๆ เพิ่มเติมตามประกาศของโจทก์ รายละเอียดปรากฏตามภาพถ่ายใบขอสินเชื่อเงินกู้ประเภทวงเงินเบิกเงินเกินบัญชีและภาพถ่ายสัญญาให้สินเชื่อ เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4
ข้อ 3 ต่อมาโจทก์ได้อนุมัติให้จำเลย ตามคำขอสินเชื่อประเภทวงเงินเบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าวในวงเงินอนุมัติ จำนวน 99,000.00 บาท และแจ้งการอนุมัติยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรให้จำเลยได้รับทราบ และได้รับบัตรเงินสดพร้อมรหัสประจำตัว และจำเลยได้เปิดบัญชีกระแสรายวันเลขที่ 170-1-804187 พร้อมให้ตัวอย่างลายมือชื่อ และได้สมุดเช็ค เพื่อให้เบิกถอนเงินสด
จำเลยได้เบิกถอนเงินสดที่ใช้คู่กับรหัสประจำตัวที่โจทก์ออกให้ เบิกถอนเงินสดจากเครื่องฝากและถอนอัตโนมัติ (ตู้ ATM POOL ทั่วประเทศ) และเบิกถอนเงินโดยวิธีการสั่งจ่ายเช็คจากสมุดเช็คที่จำเลนได้เปิดบัญชีกระแสรายวันไว้กับโจทก์หลายครั้งหลายหน และธนาคารฯ ได้ส่งใบรายงานบัญชีเครดิตพลัส/ใบกำกับภาษี แจ้งยอดบัญชีให้จำเลยทราบเป็นรายเดือน จำเลยไม่ได้ชำระหนี้ให้โจทก์เลย ยอดหนี้ค้างชำระในแต่ละเดือน โจทก์ได้คิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายตามเงื่อนไขของสินเชื่อประเภทวงเงินเกินบัญชี โดยจำเลยมียอดหนี้ค้างชำระแก่โจทก์ ปรากฏตามยอดหนี้ ณ วันที่ 22 กรกฎาคม 2551 คิดเป็นต้นเงินจำนวน 103,522.32 บาท เป็นดอกเบี้ยจำนวน 4,239.61 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 107,761.93 บาท ซึ่งจำเลยมีหน้าทีต้องชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์ ให้ครบถ้วนภายในวันที่ 16 สิงหาคม 2551 แต่จำเลยกาได้ชำระไม่ รายละเอียดปรากฏตามภาพถ่ายใบแจ้งยอดบัญชีรายเดือน เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5
โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเดินสะพัดทางบัญชีต่อไป โจทก์ได้มีหนังสือแจ้งการบอกเลิกสัญญาให้จำเลยทราบแล้ว พร้อมทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้างชำระคืนแก่โจทก์ จำเลยได้รับโดยชอบแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย รายละเอียดปรากฎตามภาพถ่ายหนังสือแจ้งให้ชำระหนี้ บอกเลิกสัญญาและไปรษณีย์ตอบรับ เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6
ก. คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ตามสัญญา ซึ่งอยู่ในวงเงิน จำนวน
99,000.00 บาท นับตั้งแต่งวันที่ 23 กรกฎาคม 2551 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 22 กันยายน 2551 เป็นดอกเบี้ย จำนวน 3,026.96 บาท
ข. คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ตามสัญญาให้สินเชื่อในส่วนที่เกินวงเงินจำนวน 8,761.93 บาท นับตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม 2551 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 22 กันยายน 2551 เป็นดอกเบี้ย จำนวน 312.55 บาท รวมเป็นดอกเบี้ยที่อยู่ในวงเงินและส่วนที่เกินวงเงินทั้งสิ้นจำนวน 3,339.51 บาท เมื่อนำมารวมกับยอดหนี้ที่จำเลยค้างชำระจำนวน 107,761.93 บาท จะเป็นเงินที่จำเลยต้องชำระทั้งสิ้นจำนวน 111,101.44 บาท รายละเอียดปรากกฎตามตารางการคิดคำนวณทุนทรัพย์ เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 7
การคิดดอกเบี้ยดังกล่าวโจทก์อาศัยอำนาจตามประกาศกระทรวงการคลัง ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย และตามประกาศธนาคารโจทก์ รายละเอียดโจทก์ขอเสนอต่อศาลในชั้นพิจารณาต่อไป
เนื่องจากจำเลยมีภูมิลำเยาอยู่ในเขตอำนาจศาลนี้ โจทก์จึงยื่นฟ้องต่อศาลนี้
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
คำขอท้ายฟ้องคดีผู้บริโภค
ขอศาลโปรดออกหมายเรียกจำเลยพิจารณาพิพากษาและบังคับจำเลยตามคำขอต่อไปนี้
1. ให้จำเลยชำระเงิน 111,101.44 บาท พร้อมดอกเบี้ย ร้อยละ 18 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 99,000 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ 21 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 8,761.93 บาทนับถัดจากวันที่ 22 กันยายน 2551 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์และขอให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์ด้วย