ตัวอย่างคำฟ้องคดีผู้บริโภค/คดีสคบ./คดีคุ้มครองผู้บริโภค
ศาล แพ่ง
ธนาคาร ทหารไทย จำกัด (มหาชน) โดยนาย พ. ผู้รับมอบอำนาจช่วง โจทก์
นาย น. จำเลย
เรื่อง ผิดสัญญา, เรียกให้ชำระหนี้
จำนวนทุนทรัพย์ 54,116 บาท 76 สตางค์
ข้อ 1 โจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภท บริษัทมหาชน จำกัด ใช้ชื่อว่า .....มีนาย ภ. เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัท กระทำการในนามโจทก์ รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือรับรองบริษัท (เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1)
ในการฟ้องและดำเนินคดี โจทก์ได้มอบอำนาจให้นาย อ. เป็นผู้มีอำนาจให้อำนาจฟ้องและดำเนินการแทนโจทก์ ตลอดจนมีอำนาจมอบอำนาจช่วงให้บุคคลอื่นดำเนินการแทนได้ ซึ่งในการฟ้องและดำเนินคดีนี้ นาย อ. ผู้มอบอำนาจได้มอบอำนาจช่วงให้ นาย พ. กับพวกรวม 17 คน เป็นผู้รับมอบอำนาจช่วงมีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีแทน รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือมอบอำนาจ(เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 2 และ 3 )
ข้อ 2 โจทก์ประกอบกิจการธนาคารและให้สินเชื่อบัตรเครดิตวีซ่าการ์ด ,มาสเตอร์การ์ด บัตรขวัญนครฯ แก่บุคคลททั่วไป เมื่ออนุมัติเงินสินเชื่อบัตรเครดิตแล้ว ก็จะออกบัตรเครดิตให้แก่ลูกค้าเพื่อนำไปใช้ซื้อสินค้าและบริการ
เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2550 จำเลยได้สมัครเป็นสมาชิกบัตรธนาคาร ทหารไทย วีซ่าการ์ดกับธนาคารฯ โดยผ่านทางสาขาหรือตัวแทนของธนาคารฯ มายังสำนักงานใหญ่เพื่อตรวจสอบอนุมัติหรือไม่อนุมัติต่อไป ซึ่งธนาคารฯ ตกลงรับจำเลยเข้าเป็นสมาชิกบัตรเครดิต โดยออกบัตรเครดิต หมายเลข 4518-2430-1458-0008 ให้แก่จำเลย ซึ่งเมื่อจำเลยได้รับบัตรเครดิตแล้วจำเลยยังไม่สามารถใช้บัตรดังกล่าวได้จนกว่าจำเลนจะติดต่อกลับมายังธนาคารสำนักงานใหญ่ เพื่อยืนยันว่าได้รับบัตรเครดิตและได้ตรวจสอบกับทางธนาคารฯว่า เป็นเจ้าของบัตรที่แท้จริง ธนาคารฯ จึงจะเปิดบัตรให้สามารถใช้ได้ ซึ่งบัตรดังกล่าวจำเลยสามารถนำไปใช้ในการซื้อสินค้าและบริการจากสถานประกอบการที่มีข้อตกลงกับโจทก์ โดยใช้บัตรแทนการชำระเงินสดค่าซื้อสินค้า ค่าบริการต่าง ๆ และใช้บัตรประกอบรหัสประจำตัวในการเบิก-ถอนเงินสดล่วงหน้าจากเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติจากสถาบันการเงินที่มีข้อตกลงกับโจทก์ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ โดยจะต้องเสียค่าธรรมเนียมการเบิกถอนเงินสดในอัตราร้อยละ 3 ของจำนวนเงินที่เบิกถอนต่อครั้งและเมื่อโจทก์ได้ออกเงินชำระแทนจำเลยให้กับสถานประกอบการค้าต่าง ๆ ไปแล้วโจทก์จะจัดทำใบแจ้งยอดค่าใช้จ่ายบัตรเครดิตของจำเลยส่งได้แจ้งให้ไว้ ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 10 วัน เพื่อให้จำเลยได้ตรวจสอบรายการใช้บัตรพากพบรายการที่ไม่ถูกต้อง ทำจากทักท้วงภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับใบแจ้งยอดค่าใช้จ่ายบัตรเครดิต หากจำเลยหรือผู้ถือบัตรมิได้โต้แย้งหรือทักท้วงในเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าจำเลยยอมรับรายการดังกล่าวถูกต้องแล้ว และจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระตามจำนวนที่ระบุในใบแจ้งยอดการใช้จ่ายแล้วแต่กรณีว่าจะให้ตดบัญชีเงินฝากของจำเลยหรือว่าชำระเงินตามจำนวนที่ระบุในใบแจ้งยอดการใช้จ่ายแล้วแต่กรณี จะให้ตัดบัญชีเงินฝากของจำเลยหรือว่าชำระด้วยเงินสดหรือตัดกับระบบเงินกู้เบิกเกินบัญชี หากจำเลยไม่สามารถชำระเงินตามรายการแจ้งยอดการใช้จ่ายให้ครบถ้วนในคราวเดียวได้จำเลยยินยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยจากยอดเงินคงค้างตั้งแต่วันที่ออกใบแจ้งยอดจนกว่าจะชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วน ในอัตราดอกเบี้ย MRR + 10 ต่อปี (อัตราดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี) หรือตามประกาศของธนาคารโจทก์ที่ปรับเปลี่ยนแต่ละช่วงตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาต อีกทั้งจำเลยยินยอมให้โจทก์คิดค่าปรับหนี้ค้างชำระหรือชำระล่าช้าครั้งละ 100 บาท และจำเลยยินยอมที่จะปฏิบัติตามสัญญาและเงื่อนไขที่มีอยู่หรือที่โจทก์จะประกาศแจ้งให้ทราบเป็นลายลักษณ์อักษรในภายหลัง รายละเอียดปรากฏตามภาพถ่ายใบสมัครสมาชิกบัตรพร้อมระเบียบและเงื่อนไขในการใช้บัตรเครดิต (เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 และ 5)
ข้อ 3 ต่อมาในระหว่างวันที่ 20 มิถุนายน 2550 ถึงเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2551 จำเลยได้นำบัตรเครดิตดังกล่าวที่โจทก์ออกไปใช้แทนการชำระเงินสดค่าซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ ตลอดถึงการเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าจากเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติ ซึ่งโจทก์โดยสำนักงานใหญ่ได้ชำระแทนจำเลยให้แก่สถานประกอบการค้าต่าง ๆ ไปแล้ว และฝ่ายบัตรเครดิตของสำนักงานใหญ่จะส่งแจ้งยอดการใช้จ่ายรายเดือนตามรายการต่าง ๆ ที่จำเลยได้ไปใช้เรียกเก็บเงินจากจำเลยตั้งแต่เดือน กรกฎาคม 2550 เป็นต้นมา แต่จำเลยได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์เพียงบางส่วนสำหรับยอดหนี้ที่ค้างชำระในแต่ละเดือน โจทก์ได้คิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมผิดนัด ตามอัตราที่กำหนดไว้ในระเบียบและเงื่อนไขในการใช้บัตร โดยคำนวณยอดหนี้ค้างชำระ ณ วันที่ 20 พฤษภาคม 2551 แยกเป็นต้นเงินจำนวน 49,022.90 บาท เป็นดอกเบี้ยจำนวน 2,407.67 บาท รวมทั้งสิ้นจำนวน 51,430.57 บาท ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวจำเลยต้องชำระให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 9 มิถุนายน 2551 แต่จำเลยมิได้ชำระแก่โจทก์จนเสร็จสิ้นแต่อย่างใด รายละเอียดปรากฏตามภาพถ่ายใบแจ้งยอดการใช้จ่ายรายเดือนและตารางใยบันทึกรายการยอดหนี้ (เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6 และ 7)
ดังนั้น จำเลยต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์จำนวน 51,430.57 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 49,022.90 บาท นับแต่วันที่ 21 พฤษภาคม 2551 เป็นเงินจำนวน 2,686.19 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยต้องรับผิดทั้งสิ้นจำนวน 54,116.76 บาท รายละเอียดปรากฏตามตารางคำนวณทุนทรัพย์เครดิตการ์ด (เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 8)
ในการคิดดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวโจทก์อาศัยอำนาจตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและตามประกาศธนาคารของโจทก์ ปรากฏภาพถ่ายประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศธนาคารโจทก์ (เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 9 และ 10 ตามลำดับ)
ก่อนฟ้องเป็นคดีนี้โจทก์ได้ติดตามทวงถามทางโทรศัพท์หลาย ๆ ครั้ง หลังสุดโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามไปยังจำเลย แต่จำเลยก็ยังคงเพิกเฉยอยู่ รายละเอียดปรากฏตามหนังสือบอกกล่าวทวงถาม (เอกสารท้ายคำฟ้อง หมายเลข 11)
โจทก์ไม่มีทางอื่นที่จะบังคับชำระหนี้เอากับจำเลยได้จึงต้องนำคดีมาฟ้องต่อศาล เพื่อขอบารมีศาลเป็นที่พึ่งต่อไป
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
คำขอท้ายฟ้องคดีผู้บริโภค
ขอศาลโปรดออกหมายเรียกจำเลยพิจารณาพิพากษาและบังคับจำเลยตามคำขอต่อไปนี้
1. ให้จำเลยใช้เงินจำนวน 54,116.76 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 49,022.90 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์