ตัวอย่างคำฟ้องคดีผู้บริโภค/คดีสคบ./คดีคุ้มครองผู้บริโภค
ศาล แขวงพระนครเหนือ
ธนาคาร กรุงไทย จำกัด (มหาชน) โจทก์
นาย ส. ที่ 1 , นายอ. ที่ 2 จำเลย
เรื่อง ยืม ค้ำประกัน
จำนวนทุนทรัพย์ 113,279 บาท 87 สตางค์
ข้อ 1 โจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชน จำกัด มีนาย ภ. เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์โดยการลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัท รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือรับรองบริษัท เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1
ในการดำเนินคดีนี้ โจทก์โดยนาย ภ. กรรมการผู้มีอำนาจได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้นาง จ. เป็นผู้มีอำนาจดำเนินการแทนโจทก์ก็ได้ รายละเอียดปรากฎตามสำเนาหนังสือมอบอำนาจ เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2
ข้อ 2 โจทก์ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์มีสาขาอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ จำเลยทั้งสองเป็นลูกค้าและลูกหนี้โจทก์สาขาองค์การตลาดเพื่อการเกษตรกร (เดิมชื่อสาขาตลาดหมอชิต) จังหวัดกรุงเทพมหานครในหนี้ตามสัญญากู้กรุงไทยธนวัฎ ดังนี้
จำเลยที่ 1 ได้เปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์กับโจทก์สาขาองค์การตลาดเพื่อเกษตรกรบัญชีเลขที่ 035-1-17449-4 ในการเปิดบัญชีออมทรัพย์มีข้อตกลงว่าจำเลยที่ 1 สามารถนำเงินเข้าฝากและเบิกถอนเงินออกจากบัญชีได้ โดยได้นำฝากหรือใบถอนเงินได้ที่สาขาของโจทก์ทั่วประเทศหรือใช้บัตร เอ.ที.เอ็ม เพื่อเบิกถอนเงินออกจากบี (เอ.ที.เอ็ม) ได้ทั่วประเทศ รายละเอียดปรากฏตามสำเนาคำขอเปิดบัญชีออมทรัพย์ เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 3
โจทก์ได้มีบริการให้สินเชื่อกรุงไทยธนวัฎ กล่าวคือลูกค้าของโจทก์ที่นายจ้างจ่ายเงินเดือนหรือผลประโยชน์อื่น ๆ โดยการนำเข้าบัญชีออมทรัพย์สามารถขอกู้เงินจากโจทก์ได้เป็นจำนวนตั้งแต่ 3 ถึง 11 เท่าของเงินเดือนหรือผลประโยชน์ที่ลูกค้าได้รับแต่ละเดือน โดยสามารถเบิกเงินกู้ได้จากบัญชีออมทรัพย์ดังกล่าว จำเลยที่ 1 เป็นข้าราชการสังกัดควบคุมการปฎิบัติทางอากาศ กระทรวงกลาโหมซึ่งจำเลยที่ 1 ได้ใช้บริการการจ่ายเงินเดือนและเงินผลประโยชน์อื่น ๆ ที่จำเลยที่ 1 พึงได้รับโดยการเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์บัญชีเลขที่ 035-1-17449-4
เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2545 จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้สินเชื่อกรุงไทยธนวัฎจำนวนเงิน 110,000 บาท ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ เอ็ม อาร์ อาร์บวก 3.50 ต่อปี ขณะทำสัญญาอัตราร้อยละ 11.25 ต่อปี กำหนดจะชำระหนี้ทั้งหมดให้เสร็จสิ้นภายใน 1 ปีนับแต่วันทำสัญญากู้ จำเลยที่ 1 สามารถเบิกเงินกู้ได้จากบัญชีออมทรัพย์เลขที่ 035-1-17449-4 จำเลยที่ 1 ตกลงชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นรายเดือนทุก ๆ เดือนติดต่อกันโดยการหักเงินเดือนของจำเลยที่ 1 จากบัญชีออมทรัพย์ดังกล่าว และหากหลังจากวันทำสัญญาธนาคารแห่งประเทศไทยหรือโจทก์เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยได้ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยหรือตามประกาศของโจทก์นับแต่วันที่มีประกาศเป็นต้นไป
จำเลยที่ 1 ตกลงให้นายจ้างจ่ายเงินเดือนหรือเงินอื่นใดที่จำเลยที่ 1 พึงได้นำเงินเข้าบัญชีเงินฝากเป็นประจำทุกเดือนตลอดไป หากไม่มีการนำเงินเดือนเข้าบัญชีออมทรัพย์จำเลยที่ 1 หรือจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยงวดในงวดหนึ่ง หรือโจทก์ไม่สามารถนำเงินมาหักชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยได้ถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญากับโจทก์ จำเลยที่ 1 ยอมให้บอกเลิกสัญญาและเรียกให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างชำระทั้งหมดได้ทันที และยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราผิดนัดสูงสุดตามประกาศของโจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราผิดนัดสูงสุดตามประกาศของโจทก์ได้
เมื่อสัญญาครบกำหนดแล้วหากโจทก์หรือจำเลยที่ 1 ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมิได้บอกเลิกสัญญาให้ถือว่าสัญญามีผลใช้บังคับต่อไปอีกคราวละ 1 ปี โดยมีเงื่อนไขและข้อตกลงเดิมทุกประการจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกเลิกสัญญา และหากมีการบอกเลิกสัญญาเมื่อใดก็ตามที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระหนี้ทั้งหมดทันที
เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญากู้กรุงไทยธนวัฎ โดยตกลงยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 อย่างลูกหนี้ร่วม จนกว่าโจทก์จะได้รับชำระหนี้ครบถ้วนและหากโจทก์ผ่อนเวลาการชำระหนี้ให้กับจำเลยที่ 1 โดยแจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบหรือไม่ก็ตาม จำเลยที่ 2 ยอมด้วยกับการผ่อนเวลาทุกครั้ง รายละเอียดปรากฏตามสำเนาสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันกรุงไทยธนวัฎ เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4
ข้อ 3 หลังจากทำสัญญากู้กรุงไทยธนวัธแล้ว จำเลยที่ 1 ได้มีใช้วงเงินกู้โดยการเบิกถอนเงินและนำเงินเข้าฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์หลายครั้งหลายหน นายจ้างของจำเลยที่ 1 ได้โอนเงินเดือนและผลประโยชน์อื่นเข้าบัญชีออมทรัพย์ของจำเลยที่ 1 เรื่อยมา หากเงินในบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 1เป็นหนี้โจทก์ โจทก์จะคิดดอกเบี้ยเอากับจำเลยที่ 1 ตามสัญญา และเมื่อมีการนำเงินเดือนเข้าบัญชีโจทก์ก็จะหักบัญชีเพื่อตัดชำระต้นเงินและดอกเบี้ยทุกเดือน จำเลยที่ 1 ได้ทราบและยินยอมด้วยโดยยังคงนำเงินเดือนเข้าบัญชีทุกเดือนและมีการเบิกถอนเงินจากบัญชีเรื่อยมา
แต่ต่อมามีการนำเงินเดือนของจำเลยที่ 1 เข้าบัญชีแต่ไม่เพียงพอที่จะนำเงินดังกล่าวมาหักชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยได้ จึงถือว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาแล้ว โจทก์หักทอนบัญชีในวันที่ 24 เมษายน 2552 จำเลยที่ 1 มีหนี้ค้างชำระเป็นเงิน 113,353.55 บาท
จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ในต้นเงิน 113,353.55 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราผิดนัดสูงสุดอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน 2552 ถึงวันที่ 26 เมษายน 2552 เป็นดอกเบี้ย 93.17 บาท ในวันที่ 27 เมษายน 2552 มีการนำเงินเดือนเข้าบัญชีจำนวน 997.97 บาท โจทก์นำเงินไปหักชำระหนี้คงเหลือเป็นเงิน 112,355.58 บาท
จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดในต้นเงิน 112,355.58 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน 2552 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้นคิดดอกเบี้บถึงวันฟ้องเป็นเงิน 924.29 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงิน 113,279.87 บาท รายละเอียดปรากฏตามสำเนารายการบัญชีออมทรัพย์และรายการคำนวณยอดหนี้ เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 และ 6
ข้อ 4 ก่อนฟ้องคดีนี้ โจทก์ได้ให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและบอกกล่าวทวงถามแล้วแต่เพิกเฉยไม่ชำระหนี้ให้กับโจทก์แต่อย่างใด รายละเอียดปรากฎตามสำเนาหนังสือบอกกล่าวทวงถาม และใบตอบรับ เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 7 และ 8
ข้อ 5 ดังนั้นถึงวันฟ้องวันที่ 14 พฤษภาคม 2552 จำเลยที่ 1 ในฐานะลูกหนี้และจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องร่วมกันรับผิดแก่โจทก์ในหนี้ตามสัญญากู้กรุงไทยธนวัฎเป็นเงิตน 113,279.87 บาท ซึ่งโจทก์ขอถือเอาเป็นทุนทรัพย์ในการฟ้องคดีนี้ รายละเอียดปรากฏตามสำเนารายการคำนวณยอดหนี้ เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 9
การคิดดอกเบี้ยและวิธีการคำนวณดอกเบี้ยตามสัญญาและตามฟ้อง โจทก์ได้ถือปฏิบัติตามสัญญาที่จำเลยทั้งสองได้ทำไว้กับโจทก์ และอาศัยประกาศกระทรวงการคลัง,ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องการกำหนให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลด และประกาศของโจทก์เรื่องอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมและส่วนลด รายละเอียดปรากฏตามสำเนาประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศของโจทก์ เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 10 ถึง 12
โจทก์ไม่มีทางอื่นใดที่จะบังคับจำเลยทั้งสองให้ชำระหนี้ได้ โจทก์จึงต้องนำคดีมาฟ้องเพื่อขอศาลบังคับจำเลยทั้งสองต่อไป
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
คำขอท้ายฟ้องคดีผู้บริโภค
ขอศาลโปรดออกหมายเรียกจำเลยพิจารณาพิพากษาและบังคับจำเลยตามคำขอต่อไปนี้
1. ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ตามคำฟ้องให้แก่โจทก์เป็นเงิน 113,279.87 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 112,355.58 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์
2. หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ให้บังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน
3. ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์