กฤษฎีกายืนยัน กฟผ.ไม่มีอำนาจให้เช่าที่ดินแก่ผู้รับจ้างก่อสร้างโรงไฟฟ้า
ทนายคลายทุกข์ขอนำความคืบหน้ากรณี การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้มีหนังสือ ที่ กฟผ. ๙๓๑๓๐๐/๑๙๙๒๑ ลงวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๑ ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปความได้ว่า ตามที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้มีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา หารือปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับอำนาจในการให้เช่าที่ดินของ กฟผ. และคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า การที่ กฟผ. จะมีอำนาจกระทำการอย่างใดได้บ้างย่อมเป็นไปตามที่กฎหมายได้บัญญัติให้อำนาจไว้ ซึ่งมาตรา ๙ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๑ บัญญัติให้อำนาจ กฟผ. กระทำการเกี่ยวกับทรัพย์สินใด ๆ ของ กฟผ. แต่ไม่ปรากฏว่าให้อำนาจในการให้เช่าที่ดินของ กฟผ. ไว้ กฟผ. จึงไม่มีอำนาจให้เช่าที่ดินของ กฟผ.
เนื่องจาก กฟผ. มีโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าหลายแห่งและในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าดังกล่าวมีความจำเป็นต้องใช้พื้นที่บางส่วนของ กฟผ. เพื่อจัดเก็บวัสดุอุปกรณ์ที่จะนำมาติดตั้งหรือก่อสร้างโรงไฟฟ้า ผู้รับจ้างก่อสร้างโรงไฟฟ้าจึงได้ขอเช่าที่ดินของ กฟผ. บางส่วน เพื่อจัดเก็บวัสดุอุปกรณ์ดังกล่าว โดย กฟผ. เห็นว่าการให้คู่สัญญาเช่าที่ดินของ กฟผ. เพื่อจัดเก็บวัสดุอุปกรณ์นั้นเป็นการดำเนินการเพื่อให้งานก่อสร้างโรงไฟฟ้าแล้วเสร็จตามแผนงาน
การก่อสร้างอันเป็นวัตถุประสงค์ของ กฟผ. ในการผลิตไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือผู้ใช้ไฟฟ้ารายอื่น ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๑ มิใช่เป็นการให้เช่าในเชิงพาณิชย์แต่อย่างใด จึงน่าจะเป็นคนละกรณีกับที่คณะกรรมการกฤษฎีกาได้เคยตอบข้อหารือไว้
กฟผ. จึงขอหารือว่า กฟผ. จะสามารถให้คู่สัญญาซึ่งเป็นผู้รับจ้างก่อสร้างโรงไฟฟ้าให้กับ กฟผ. เช่าที่ดินของ กฟผ. เพื่อเก็บวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างได้หรือไม่
คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๕) ได้พิจารณาข้อหารือของการไฟฟ้า ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยมีผู้แทนกระทรวงพลังงาน (สำนักงานปลัดกระทรวง) และผู้แทน กฟผ. เป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว มีความเห็นว่า กฟผ. เป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้น ตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๑ การดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับ การให้เช่าทรัพย์สินจึงต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติให้อำนาจไว้
โดยที่การได้มาซึ่งที่ดินของ กฟผ. อาจแบ่งได้เป็นสองกรณี คือ ที่ดินที่ได้มาจาก การเวนคืนกับที่ดินที่ได้มาจากการอื่นที่มิใช่การเวนคืน กรณีที่ดินที่ได้มาจากการเวนคืน การใช้ที่ดินจะต้องใช้ตามวัตถุประสงค์แห่งการเวนคืนซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะเป็นที่ดินที่ได้มาโดยวิธีใดการจะให้เช่าที่ดินต้องพิจารณาอำนาจในการกระทำกิจการตามมาตรา ๙ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๓๕ และโดยที่ มาตรา ๙ (๒) บัญญัติไว้ชัดเจนให้ กฟผ. มีอำนาจในการซื้อ จัดหา จำหน่าย เช่า ให้เช่าซื้อ แลกเปลี่ยน ถือกรรมสิทธิ์ครอบครองหรือดำเนินงานเกี่ยวกับทรัพย์สินใด ๆ โดยมิได้ให้อำนาจแก่ กฟผ. ในการให้เช่าทรัพย์สินไว้ทำนองเดียวกับมาตรา ๙ (๑)
ดังนั้น กฟผ. จึงไม่มีอำนาจให้เช่าที่ดิน ซึ่งเป็นไปตามแนวทางคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๑) เรื่อง อำนาจในการให้เช่าที่ดินของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (เรื่องเสร็จที่ ๑๕๙/๒๕๔๒)[๔] สำหรับมาตรา ๙ (๑๐) ซึ่งบัญญัติให้ กฟผ. มีอำนาจกระทำการอย่างอื่น บรรดาที่เกี่ยวกับหรือเนื่องในการจัดให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของ กฟผ. นั้น เห็นว่า เมื่อมีบทบัญญัติชัดแจ้งแล้วในมาตรา ๙[๕] (๒) จึงไม่อาจนำมาตรา ๙ (๑๐) ที่บัญญัติไว้เป็นเรื่องทั่วไปมาใช้เป็นการขยายความให้ กฟผ. มีอำนาจให้เช่าที่ดินได้
ขอขอบคุณรายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ