ขึ้นภาษีเหล้าเบียร์ค่ายไหนได้-เสีย(ประโยชน์)
สาวให้ลึกถึง
"เกมธุรกิจ" บนภาษีเหล้า
สุรา เบียร์
ใครได้ ใครเสียประโยชน์
ร่วมค้นหาคำตอบได้ที่นี่
การปรับภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
คือ
หนึ่งนโยบาย ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง
เพื่อชดเชยภาวะการขาดดุลงบประมาณ
ภายหลังจากภาครัฐ
ได้ใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่าย
และมาตรการทางภาษีเพื่อช่วยประคับประคองไม่ให้ตกสู่ภาวะถดถอยที่รุนแรง
โดยภาครัฐได้ประกาศปรับ
1. ภาษีเบียร์
จาก 55 บาทต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์
เป็น 60 บาท
หรือปรับขึ้นกว่า
5.5% ทำให้ราคาขายต่อขวดเพิ่มขึ้นอีก
4 - 5 บาท 2. สุราขาวปรับขึ้นจาก
110 บาทต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์
เป็น 120 บาท หรือปรับขึ้น
9.1% ทำให้ราคาขายต่อขวดเพิ่มขึ้นประมาณ
1.7 - 3.5 บาทต่อขวด
3. สุราผสมปรับเพิ่มขึ้นจาก
280 บาทต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์
เป็น 300 บาท หรือเพิ่มขึ้ร
7.1% ส่งผลให้ราคาขายต่อขวดเพิ่มขึ้น
4 - 5 บาท และ
4.บรั่นดีปรับเพิ่มจาก
45% เป็น 48% หรือเพิ่ม
6.7% ทำให้ราคาขายต่อขวดเพิ่มขึ้น
19 บาท
แต่สำหรับบรรดาผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนี้แล้ว
การปรับภาษี
อาจหมายถึง การซ้ำเติมอย่างหนักในช่วงที่อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
อยู่ในช่วง "ขาลง"
อย่างรุนแรง
ตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เริ่มส่งสัญญาณการชะลอตัวมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา
โดยปริมาณการจำหน่ายในปี
2551 มีทั้งหมด
2,801.9 ล้านลิตร
ลดลง 4% แยกเป็นปริมาณการจำหน่ายสุรา
812 ล้านลิตร
ลดลง 3.4% ขณะที่ปริมาณการจำหน่ายเบียร์อยู่ที่
1,989.9 ล้านลิตร
ลดลง 4.3%
ตัวเลขข้างต้นสะท้อนให้เห็นถึงยอดขายที่ลดลงผันแปรตามกำลังซื้อที่หดตัวลง
และส่งผลให้ตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปี
2552 เป็นช่วงที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงที่หนักหนาสาหัส
ซึ่งมีผลกระทบต่อยอดจำหน่ายที่ปรับลดลงรุนแรงมากกว่าในปี
2551 ที่ผ่านมา
ตามความคิดเห็นของ
"ฉัตรชัย
วิรัตน์โยสินทร์"
ผู้อำนวยการตลาด
บริษัท สิงห์คอร์ปอเรชั่น
จำกัด
ผู้ผลิตและจำหน่ายเบียร์
สิงห์ ลีโอ
และสิงห์ไลท์กล่าวว่า
แม้ยังไม่ได้คาดการณ์ถึงผลกระทบในแง่ยอดขายที่อาจเกิดขึ้น
แต่การปรับขึ้นภาษีเบียร์เต็มเพดานจาก
55 บาทต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์
เป็น 60 บาทต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์
ทำให้มีผลต่อต้นทุนปรับเพิ่มขึ้น
3 - 5 บาทต่อขวด
"ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่กำลังซื้อของประชาชนถดถอย
การขึ้นแค่ขวดละ
3 - 5 บาท
ก็อาจมีผลได้"
อย่างไรก็ตาม
การปรับขึ้นภาษีข้างต้น
ฉัตรชัย
มองว่า ถือว่าดีกว่าที่รัฐบาลจะจัดเก็บภาษีหน้าโรงงานเพิ่มขึ้น
ซึ่งจะกลายเป็น
"ผลลบ" กับเบียร์สิงห์ต้องเพลี่ยงพล้ำด้านการตลาดให้กับอีกค่ายทันที
เขา
แจงว่า
ด้วยโครงสร้างภาษีสรรพสามิตในการคิดฐานภาษีสำหรับสินค้าประเภทสุรา
มี 2 ประเภทด้วยกัน
คือ วิธีคิดฐานภาษีตามสภาพ
: ลิตรแอลกอฮอล์บริสุทธิ์
กับ วิธีคิดฐานภาษีตามมูลค่า
: ราคาหน้าโรงงาน
ราคานำเข้า
โดยส่วนใหญ่
ที่ผ่านมา
การปรับขึ้นภาษี
มักทำในส่วนของภาษีตามมูลค่า
หรือที่เรียกว่า
"ภาษีหน้าโรงงาน"
ซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยมาตลอด
และได้มีการเรียกร้องให้เก็บภาษีตามสภาพ
หรือตามความแรงของแอลกอฮอล์
ซึ่งจะช่วยให้การแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการเป็นไปอย่างยุติธรรมมากขึ้น
"หากรัฐนำแนวคิดการเรียกเก็บภาษีต้นทุนหน้าโรงงานเพิ่มมาใช้
จะส่งผลให้ราคาเบียร์ในตลาดปรับเพิ่มสูงขึ้น
โดยเบียร์ในเซกเมนต์สแตนดาร์ด
อย่างเช่น
สิงห์
อาจต้องปรับราคาเพิ่มอีก
8 - 12 บาท
เบียร์อีโคโนมี
หรือประหยัด เพิ่มอีก
8 บาท
ขณะที่เบียร์ในเซกเมนต์พรีเมี่ยมอาจต้องปรับราคามากกว่า
10 บาท"
ก่อนหน้านี้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ออกบทวิเคราะห์เกี่ยวกับตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปี
2552 โดยถือว่าเป็นช่วงที่หนักหนาสาหัสของผู้ประกอบการ
เมื่อเทียบกับวิกฤตทางด้านยอดขายครั้งก่อนๆที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะเป็นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี
40 หรือช่วงที่ภาครัฐปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตในหลายๆครั้งที่ผ่านมา
ซึ่งยอดจำหน่ายจะซบเซาเพียงช่วงสั้นๆ
และสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
โดยระบุว่า
ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรม
ประกอบด้วย กำลังซื้อที่ถดถอยตามภาวะเศรษฐกิจของประชาชน
มาตรการของภาครัฐที่ส่งผลต่อยอดจำหน่าย
เช่น
การปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตเพื่อเพิ่มรายได้ชดเชยภาวะการขาดดุลงบประมาณ
และมาตรการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาลซึ่งถูกเสนอจากองค์กรภาคเอกชน
ถึงแม้ว่า
ทางรัฐบาลมองว่า
การปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตสุราครั้งนี้จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาล
6,300 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม
การปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงที่ประชาชนมีกำลังซื้อจำกัด
อาจจะไม่สามารถเพิ่มรายได้ทางภาษีได้อย่างเต็มที่นัก
เนื่องจากต้นทุนของผู้ประกอบการที่เพิ่มขึ้นจะถูกผลักภาระไปสู่ผู้บริโภค
ในขณะเดียวกันก็จะเกิดการ
"ลักลอบผลิต"
และนำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากต่างประเทศเพิ่มขึ้น
ซึ่งจะกระทบต่อยอดจำหน่ายและยอดการจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในท้ายที่สุด
แม้ว่าการปรับขึ้นภาษีตาม
"ดีกรี" ความแรงของแอลกอฮอล์
กระทบหนักต่อตลาดเบียร์
ซึ่งทำให้เบียร์สิงห์โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
แต่ในมุมค่ายสิงห์อดคิดไม่ได้ว่า
"เอื้อ" ประโยชน์กับธุรกิจเหล้าขาว
"เพราะอาจมีนักดื่มส่วนหนึ่งปรับจากเบียร์ไปหาเหล้าขาวแทน"
ฉัตรชัยให้ความเห็นว่า
การที่รัฐปรับขึ้นภาษีเบียร์เต็มเพดาน
ส่งผลบวกต่อเหล้าขาว
เพราะอัตราการจัดเก็บตามปริมาณที่เพิ่มขึ้น
120 ลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์จากเดิม
110 ลิตร
แห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ของเหล้าขาว
ยังไม่เต็มเพดานภาษีที่ตั้งไว้
400 ต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์
ทั้งที่เหล้าขาวเป็นตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ใหญ่สุดเมื่อเทียบกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทอื่น
โดยมีมูลค่ามากนับแสนล้านบาท
แน่นอนว่า
เหล้าขาวที่ฉัตรชัยหมายถึง
ย่อมเกี่ยวโยงไปถึงผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดอย่าง ไทยเบฟเวอเรจ
รวมถึง กลุ่มของตระกูลไชยวรรณอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ซึ่งในปัจจุบันเหล้าขาวยังคงเป็นกลุ่มสินค้าที่สร้างรายได้ให้กับไทยเบฟฯมากที่สุดในปีที่ผ่านมาด้วยปริมาณ
315 ล้านลิตรต่อปี
ขณะที่สุราสีจัดจำหน่ายได้เพียง
122 ล้านลิตรต่อปี
ขณะที่สุราต่างประเทศ
ไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับภาษีมากนัก
เพราะก่อนหน้านี้กำหนดเก็บภาษีสรรพสามิตตามสภาพ
400 บาทต่อลิตร
จึงยังจำหน่ายตามราคาปกติ
การปรับภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในครั้งนี้
ผลกระทบหนักจึงตกกับค่ายที่มีพอร์ตรายได้หลักจากเบียร์เป็นสำคัญ
นั่นคือ ค่ายสิงห์นั่นเอง
ขณะที่ค่ายไทยเบฟ
พอร์ตใหญ่อยู่ที่
"สุรา" ระดับผลกระทบจึงอาจไม่มากเท่า
ขอขอบคุณ
เนื้อหาประกอบข่าวจาก
กรุงเทพธุรกิจ