เก็บภาษีบาปเต็มเพดานบุหรี่-เหล้าราคาพุ่งพรวด
คลังเล็งแก้
พ.ร.ก.สรรพสามิต
เพื่อขยับเพดานภาษีบุหรี่
จากเดิมที่เก็บ
80
% เพิ่มเป็น
90% ส่งผลให้ราคาบุหรี่ไทยพุ่งขึ้น
11 บาทต่อซอง
ส่วนบุหรี่นอกขยับอีก
16 บาท
ส่วนเพดานภาษีน้ำมัน
เตรียมขยับจากลิตรละ
5 บาท
เพิ่มเป็น 10 บาทขึ้นไป คาดโครงสร้างภาษีใหม่
ส่งผลให้รัฐมีรายได้เพิ่ม
7-8 หมื่นล้านบาท
ฟากเอกชนเบรกค่อย
ๆ ขึ้นน้ำมัน
หวั่นขึ้นเร็วประชาชนเดือดร้อน
ขณะที่นายกฯ ยันไม่ขึ้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา-นิติบุคคล
หวังเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวมีเงินใช้หนี้
ด้าน “กรณ์”
แจงพอใจแจกเช็คช่วยชาติ
ทำให้เงินสะพัดกว่า
1.1 หมื่นล้าน
ดีเดย์แจกเช็ครอบ
4 ในวันที่
20 พ.ค.-15 มิ.ย.
เมื่อวันที่
7 พ.ค. นายพฤฒิชัย
ดำรงรัตน์
รมช.คลัง
เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังจะปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตสินค้าในกลุ่มของยาสูบ
และน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่
นอกเหนือจากเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ที่ได้ปรับภาษีขึ้นไปก่อนหน้านี้แล้ว
เนื่องจากอัตราภาษียาสูบและน้ำมัน
ปัจจุบันนี้เรียกเก็บเต็มเพดานแล้ว
จึงจำเป็นต้องออก
พ.ร.ก.เพื่อขยับเพดานการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต
จากปัจจุบันที่กระทรวงการคลังเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตบุหรี่
80% ซึ่งจะปรับเพิ่มเป็น
90% และน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดที่
5 บาทต่อลิตร
เป็น 10 บาท แต่อัตราภาษีที่จะปรับขึ้นจริงจะเป็นเท่าใดนั้น
ยังไม่สามารถระบุ
ได้ในขณะนี้ คาดว่ากระทรวงการคลังจะเสนอ
พ.ร.ก. ขยายเพดานการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในส่วนของบุหรี่และน้ำมัน
เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้สัปดาห์หน้า
ซึ่งน่าจะเป็นวาระเดียวกับการนำเสนอ
พ.ร.ก.ที่ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน
เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
ในวงเงินไม่เกิน
400,000 ล้านบาท
“ปัจจุบันภาษีน้ำมันมีเพดานที่
5 บาท
การขยับเพดานคืออาจขึ้นไปถึง
10 บาทก็ได้
แต่ตัวเนื้อภาษีที่จะขึ้นจริง
ๆ
เท่าไรนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เหมือนบุหรี่ถ้าจะปรับเพดานจาก
80% เป็น 90% ก็ได้
แต่ภาษีที่จะขึ้นจริงไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นชนเพดาน”
รมช.คลัง
กล่าว
ทั้งนี้ คาดว่าการปรับภาษีสรรพสามิต
ทั้งหมดนี้ น่าจะทำให้รัฐบาลจัดเก็บภาษีสรรพสามิตได้เพิ่มขึ้นปีละ
70,000-80,000 ล้านบาท
โดยในส่วนของน้ำมันเชื้อเพลิง
จะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละ
50,000-55,000 ล้านบาท
หากท้ายสุดแล้วปรับขึ้นภาษีที่
2 บาทต่อลิตร
ส่วนภาษีบุหรี่นั้นคาดว่าจะเก็บภาษีได้เพิ่มอีกปีละ
15,000-20,000 ล้านบาท
ภาษีเบียร์คาดว่าจะเก็บภาษีได้เพิ่มปีละ
7,000 ล้านบาท และสุราทุกประเภทได้เพิ่มอีกปีละ
3,000 ล้านบาท
“กฎหมายที่เสนอให้ปรับเพิ่มภาษีน้ำมันและบุหรี่นี้
ต้องรอประกาศในราชกิจจานุเบกษาก่อน
จึงจะนำมาใช้จริง
โดยระหว่างนี้
ได้สั่งการให้กรมสรรพสามิตเข้มงวดในการตรวจสอบเพื่อป้องกันการกักตุนสินค้า
แต่โดยปกติ
กรมฯ
จะมีข้อมูลการซื้อแสตมป์บุหรี่จากโรงงานผลิตอยู่แล้ว
ดังนั้นจึงคาดว่าไม่น่าจะกักตุนได้มาก
ทั้งนี้การออกกฎหมายครั้งนี้
เข้มงวดเฉพาะสินค้าบาป
แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ส่งเสริมให้ประชาชนลุ่มหลงมัวเมากับเหล้ายา
สอดคล้องไปกับต้องการลดงบการให้บริการสาธารณสุข
ที่ต่อปีต้องใช้เพื่อดูแลผู้ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ถึง
150,000 ล้านบาท”
นายพฤฒิชัย
กล่าว
รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง
กล่าวว่า เมื่อปรับภาษีและราคาขายใหม่แล้วนั้น
จะมีผลทำให้บุหรี่ไทยราคาเพิ่มขึ้น
11 บาท บุหรี่ต่างชาติราคาเพิ่มขึ้น
16 บาท
โดยคิดจากราคาบุหรี่ไทยปัจจุบันซองละ
45 บาท เสียภาษีฐานเดิม
80% คิดเป็นเงินภาษี
23.92 บาท
ส่วนราคาใหม่จะอยู่ที่
56 บาท เสียภาษีที่
85% ต้องเสียภาษี
34.92 บาท
หรือเพิ่มขึ้น
11 บาท
หากเป็นบุหรี่นอก
ราคาปัจจุบัน
65 บาท
เสียภาษีอัตราเดิม
32.68 บาท
ราคาใหม่ที่ 71
บาท
เสียภาษี 85% หรือ 48.60 บาท
เท่ากับเพิ่มขึ้น
16 บาท
ส่วนภาษีน้ำมันดีเซลอัตราภาษีเดิมอยู่ที่ลิตรละ
4 บาท
ภาษีใหม่ลิตรละ
5 บาท
เพิ่มขึ้นลิตรละ
1 บาท
น้ำมันเบนซิน
91 และ 95 นั้น
ภาษีเดิมอยู่ที่ลิตรละ
5 บาท
ภาษีใหม่อยู่ที่ลิตรละ
7 บาท
เพิ่มขึ้นลิตรละ
2 บาท
นายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ
นายกฯ
ชี้แจงกรณีหารายได้มากระตุ้นเศรษฐกิจว่า
สำหรับวิธีการหารายได้อื่นนอกเหนือจากการกู้เงิน
และการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตบางส่วนเพิ่มขึ้นนั้น
โครงสร้างภาษีอื่น
ๆ อาทิ ภาษีทรัพย์สิน
และภาษีมรดกก็ยังจะเดินหน้าต่อไป
แต่ทั้งสองเรื่องต้องออกเป็นกฎหมาย
ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร
ขอย้ำว่ารัฐบาลไม่มีนโยบายปรับเพิ่มภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
หรือภาษีเงินได้นิติบุคคล
ทั้งนี้ มั่นใจว่าเมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวขึ้นในเร็ววันนี้
ประเทศไทยก็จะสามารถจัดเก็บรายได้ตามเป้าหมาย
จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น
ซึ่งก็จะมีเงินเหลือนำไปชำระหนี้ต่าง
ๆ ได้
ขอขอบคุณ
เนื้อหาประกอบข่าวจาก
เดลินิวส์