ทางแก้ของลูกหนี้เมื่อถูกฟ้องล้มละลาย
ลูกหนี้นำสืบได้ว่าอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมด
คำพิพากษาฎีกาที่
1885/2542 เมื่อโจทก์บังคับคดีแล้ว
จำเลยทั้งสองได้ผ่อนชำระเงินให้แก่โจทก์ครั้งละ 10,000 บาทบ้าง ครั้งละ 15,000
บาทบ้าง เป็นระยะเวลานานถึง 13 ครั้ง แสดงว่าจำเลยทั้งสองได้ขวนขวายรวบรวมเงินที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์
ยังมิได้ละเลยที่จะไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา แม้จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์
แต่การที่จะให้บุคคลใดสมควรเป็นบุคคลล้มละลายนั้น ใช่แต่ฟังว่าลูกหนี้เป็นหนี้แล้วต้องเป็นบุคคลล้มละลายเสมอไป
ทั้งพฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ก็สืบเนื่องมาจากการค้าขายขาดทุน ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองประกอบกิจการ
หรือก่อหนี้โดยทุจริต หรือประพฤติเล่นการพนัน จำเลยทั้งสองมิได้เป็นหนี้เจ้าหนี้รายอื่น
ๆ อีก โดยสภาพหากให้จำเลยทั้งสองต้องเป็นบุคคลล้มละลายแล้ว
นอกจากจำเลยทั้งสองต้องออกจากการทำงาน
จำเลยทั้งสองยังต้องขาดสภาพที่จะหาเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์และยังก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ครอบครัวทั้งหมดอีกด้วย
เมื่อจำเลยทั้งสองประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งมีที่ทำงานที่แน่นอน
มีรายได้ตามภาวะเศรษฐกิจ ที่จะยังชำระหนี้ให้แก่โจทก์บางส่วนได้
ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองยังมีความสามารถในการรวบรวมเงินชำระหนี้ กรณีจึงเป็นเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยทั้งสองล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย
ฯ มาตรา 14
คำพิพากษาฎีกาที่ 7566/2545 จำเลยประกอบกิจการรับจ้างทำสื่อโฆษณามาตั้งแต่ปี 2535 และในปัจจุบันยังประกอบการเป็นปกติ
แม้ในช่วงระหว่างปี 2540 ถึง 2542
ผลประกอบการยังขาดทุนแต่ก็สามารถลดยอดขาดทุนลงได้มากในปี 2542 ส่วนผลประกอบการในปี
2543 ดีขึ้นมาก แม้เอกสารหนังสือเสนอขอชำระหนี้แก่โจทก์จะมิใช่เอกสารทางบัญชีที่แสดงรายได้และผลกำไรในปี
2543 แต่ก็สามารถนำมาพิจารณาปะรกอบเพื่อแสดงถึงสถานภาพของจำเลยว่าการประกอบกิจการของจำเลยยังสามารถดำเนินต่อไปได้ด้วยดี
ประกอบกับโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้หลังจากศาลแพ่งมีคำพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้เพียง 1
ปีเศษและจำเลยเคยยื่นข้อเสนอในการชำระหนี้แก่โจทก์ก่อนหน้าถูกฟ้องคดีนี้ซึ่งโจทก์ก็มิได้โต้แย้งว่าจำเลยมิได้ยื่นข้อเสนอเช่นนั้น
แสดงว่าจำเลยมิได้ละเลยในการชำระหนี้แก่โจทก์ ดังนั้น
เมื่อไม่มีเจ้าหนี้รายอื่นยื่นฟ้องจำเลยและไม่ปรากฎจากพยานหลักฐานโจทก์ให้เห็นเป็นอย่างอื่น
แสดงว่าจำเลยยังมีความน่าเชื่อถือในการประกอบกิจการและฐานะทางการเงิน
มิใช่เป็นเพียงการคาดคะเน ฉะนั้นเมื่อจำเลยยังประกอบกิจการอยู่เป็นปกติ
ยังมีรายได้และผลกำไร จึงอยู่ในวิสัยและมีลู่ทางที่ชำระหนี้แก่โจทก์ได้
กรณีมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย ฯ มาตรา 14
คำพิพากษาฎีกาที่ 4098/2548 จำเลยที่ 1 กับเพื่อนได้ร่วมกันกู้ยืมเงินโจทก์เพื่อใช้เป็นทุนในการเปิดคลินิกทันแพทย์
ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีแพ่ง โดยจำเลยที่ 1
ไม่ได้ต่อสู้คดีเพราะเห็นว่าเป็นหนี้โจทก์จริง หลังจากนั้น จำเลยที่ 1
ติดต่อชำระหนี้แก่โจทก์อีกหลายครั้งแต่ไม่สามารถตกลงกันได้ และเมื่อถูกฟ้องเป็นคดีล้มลุลาย
จำเลยที่ 1 ก็ได้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของโจทก์อีกเพื่อขอผ่อนชำระหนี้
ปัจจุบันจำเลยที่ 1 ได้ทำงานประจำที่คลินิกทันตกรรม
มีรายได้ประมาณไม่ต่ำกว่าเดือนละ 60,000 บาท กรณีเห็นได้ว่าจำเลยที่ 1
กู้ยืมเงินโจทก์มาเพื่อลงทุนในการประกอบอาชีพโดยสุจริต
แม้ไม่ประสงบความสำเร็จก็ยังพยายามติดต่อขวนขวายชำระหนี้แก่โจทก์เรื่อยมา
การกระทำดังกล่าวย่อมแสดงถึงความรับผิดชอบของจำเลยที่ 1 ในภาระหนี้ที่มีต่อโจทก์
เมื่อพิจารณาถึงฐานะของจำเลยที่ 1 ซึ่งประกอบอาชีพทันตแพทย์และมีรายได้ในการประกอบอาชีพที่แน่นอน
ประกอบกับความพยายามโดยสุจริตในการที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ และไม่ปรากฏว่าจำเลยที่
1 เป็นหนี้บุคคลอื่นอีก จำเลยที่ 1 ยังอยู่ในวิสัยที่จะใช้ความรู้ความสามารถของตนหาเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ได้
กรณีจึงถือเป็นเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยที่ 1 ล้มละลาย
คำพิพากษาฎีกาที่ 6149/2548 ภริยาจำเลยถือกรรมสิทธิ์ในหุ้นของบริษัท ม. มูลค่า 47,592,508.04 บาท
ซึ่งเป็นสินสมรส หุ้นจึงมีส่วนเป็นของจำเลยอยู่ด้วยกึ่งหนึ่ง มูลค่า 23,796,254.02
บาท และมีมูลค่าต่ำกว่ายอดหนี้ตามฟ้องอยู่จำนวน 5,817,188.50 บาท
จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะนำส่วนของจำเลยในหุ้นออกขายนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ได้บางส่วน
และหากจำเลยได้รับความช่วยเหลือจากภริยาจำเลยที่จะนำส่วนของภริยาจำเลยในหุ้นดังกล่าวออกขายด้วย
เนื่องจากเป็นคู่สมรสกันก็จะสามารถชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วนได้
จึงถือได้ว่าจำเลยอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมดอันเป็นเหตุมิให้ต้องถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ
มาตรา 14