ความชุ่ยของสำนักงานบังคับคดี
ทนายคลายทุกข์ขอเสนอความชุ่ยของสำนักงานบังคับคดี พื้นที่เขตมีนบุรี ทำการยึดทรัพย์
เนื่องจากนายประกันผิดสัญญาประกันต่อศาลแพ่งธนบุรี จำนวน 5,200,000 บาท
โดยอาศัยอำนาจตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 119 เนื่องจากจำเลยผิดนัดไม่มาศาล ศาลจึงมีคำสั่งปรับนายประกันเต็มจำนวน โดยไม่ต้องฟ้องศาล
แต่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีพื้นที่เขตมีนบุรี ไม่ดูตาม้าตาเรือ ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง
ไปยึดทรัพย์ที่ดินที่สัญญาประกันต่อศาลในคดีอาญาซ้ำ
เนื่องจากเมื่อวันที่
11 ตุลาคม 2550 เจ้าหนี้รายอื่นได้ยึดไว้แล้ว แต่มายึดทรัพย์อีกครั้งในวันที่ 5
พฤศจิกายน 2550
โดยสำนักงานบังคับคดีพื้นที่เขตมีนบุรี ถือว่ามีความชุ่ยอย่างมาก
ทำให้ราชการเสียหายและเจ้าหนี้รายอื่นที่ยึดทรัพย์ไว้แล้วก็เสียหายด้วย
นอกจากนั้นยังมีการนำทรัพย์สินไปขายทอดตลาดจนก่อให้เกิดความวุ่นวายมากมาย ซึ่งการกระทำของเจ้าพนักงานบังคับคดี ในการยึดซ้ำต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 290
ต่อมาขอเพิกถอนการบังคับคดีต่อศาล
และรีบเปลี่ยนมาขอเฉลี่ยทรัพย์แทน
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 290
ทนายคลายทุกข์อยากจะนำเสนอให้เห็นว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีที่ทำงานแบบหยาบ
ๆ
และแสดงความเสียหายให้กับประชาชนยังมีอีกมากมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมคนใหม่
ควรเข้าไปดูบ้างว่าผลงานของลูกน้องของท่านเป็นอย่างไร อย่าให้เหมือนกับคดีนี้นะครับ
“การบังคับคดีเจ้าพนักงานต้องกระทำการโดยสุจริต โปร่งใส ปฏิบัติตามกฎหมาย และเมื่อทำผิดแล้วต้องรู้จักขอโทษบ้าง”
ตัวบทกฎหมายอ้างอิง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 119 ในกรณีผิดสัญญาประกันต่อศาล
ศาลมีอำนาจสั่ง บังคับตามสัญญาประกันหรือตามที่ศาลเห็นสมควรโดยมิต้องฟ้อง
เมื่อศาลสั่งประการใดแล้ว ฝ่ายผู้ถูกบังคับตามสัญญาประกันหรือ พนักงานอัยการมีอำนาจอุทธรณ์ได้
คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ให้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 290 เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดหรืออายัดทรัพย์สิน
อย่างใดของลูกหนี้ตามคำพิพากษาไว้แทนเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว ห้ามไม่ให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นยึดหรืออายัดทรัพย์สินนั้นซ้ำอีก
แต่ให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเช่นว่านี้มีอำนาจยื่นคำขอโดยทำเป็น คำร้องต่อศาลที่ออกหมายบังคับให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินนั้น
เพื่อให้ ศาลมีคำสั่งให้ตนเข้าเฉลี่ยในทรัพย์สินหรือเงินที่ขายหรือจำหน่าย ทรัพย์สินนั้นได้
ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ห้ามมิให้ศาลอนุญาตตามคำขอเช่นว่ามานี้
เว้นแต่ศาลเห็นว่าผู้ยื่นคำขอไม่สามารถเอาชำระได้จากทรัพย์สิน อื่น ๆ ของลูกหนี้ตามคำพิพากษา
เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยภาษีอากรในอันที่จะ
สั่งยึด หรืออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเพื่อชำระค่า ภาษีอากรค้าง ให้มีสิทธิเฉลี่ยในทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานดังกล่าวได้
ยึดหรืออายัดไว้ก่อนแล้วเช่นเดียวกับเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตาม ความในวรรคหนึ่ง แต่ถ้าเจ้าพนักงานมิได้ยึดหรืออายัดไว้ก่อน
ให้ขอเฉลี่ยได้ภายในบังคับของบทบัญญัติวรรคสอง
ในกรณีที่ยึดทรัพย์สินเพื่อขายทอดตลาดหรือจำหน่ายโดยวิธีอื่น
คำขอเช่นว่านี้ให้ยื่นก่อนสิ้นระยะเวลาสิบสี่วันนับแต่วันที่มีการขาย ทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินนั้น
ในกรณีที่อายัดทรัพย์สิน ให้ยื่นคำขอเสียก่อนสิ้นระยะเวลา
สิบสี่วันนับแต่ชำระเงินหรือส่งทรัพย์สินตามที่อายัดไว้
ในกรณียึดเงินให้ยื่นคำขอเสียก่อนสิ้นระยะเวลาสิบสี่วันนับแต่วันยึด
เมื่อได้ส่งสำเนาคำขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว
ให้เจ้าพนักงาน บังคับคดีงดการจ่ายเงินหรือทรัพย์สินตามคำบังคับไว้จนกว่าศาลจะ ได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาด
เมื่อศาลได้มีคำสั่งประการใดและส่งให้เจ้า พนักงานบังคับคดีทราบแล้ว
ก็ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิบัติไปตาม คำสั่งเช่นว่านั้น
ในกรณีที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาผู้ยึดสละสิทธิในการบังคับคดี
หรือเพิกเฉยไม่ดำเนินการบังคับคดีภายในเวลาที่เจ้าพนักงานบังคับ คดีกำหนด ผู้ขอเฉลี่ยหรือผู้ยื่นคำร้องตาม
มาตรา 287หรือตาม มาตรา 289
มีสิทธิขอให้ดำเนินการบังคับคดีต่อไป
คำสั่งอนุญาตของศาลตามวรรคแปดให้เป็นที่สุด