สายด่วนร้องทุกข์กระทรวงแรงงาน
ทนายคลายทุกข์
ขอนำข่าวเรื่องการเลิกจ้าง
ปัญหาคนตกงาน
ซึ่งกระทรวงแรงงานกำลังหามาตรการเพื่อแก้ปัญหาส่วนนี้อยู่
ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ทนายคลายทุกข์
จะเป็นส่วนหนึ่งในการเป็นสายด่วนร้องทุกข์ให้กับผู้ที่ตกงานหรือกำลังจะประสบปัญหาการเลิกจ้าง
หากท่านใดต้องการให้ทนายคลายทุกข์เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือประสานงานกับกระทรวงแรงงาน
สามารถแสดงความคิดเห็นหรือร้องทุกข์มาได้
ทีมงานทนายคลายทุกข์ยินดีรับเรื่องร้องเรียนของท่าน
เพื่อประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือกระทรวงแรงงานต่อไป
รายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
ไม่รับประกันตกงาน 9 ธุรกิจ >โรงแรมหมายหัวเลย์ออฟกลุ่มคนอายุ 40 ก่อน
ตกงานระส่ำรอมาตรการรัฐเยียวยา
นักเศรษฐศาสตร์-ธปท.ฟันธงจีดีพีไทยปีหน้าโต
แค่
2% กระทรวงแรงงานนัดถกด่วน 15 ธ.ค.นี้
อุ้มพนักงานที่ถูกเลิกจ้าง วิกฤติจ่อกลุ่มธุรกิจส่งผลปลด-ลดคนงานและรายได้เร่งตัวเร็วขึ้น
งัดมาตรการเวียนหยุดงานโดยไม่จ่ายเงินเดือน กระทบรายได้หดหายถึง 25% ด้านบริษัทประกันภัยถอดใจเลิกรับประกันตกงาน ขึ้นบัญชี 7 กลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะธุรกิจส่งออก ธุรกิจที่ควบรวมกิจการเพราะขาดทุน
และธุรกิจที่มีผู้ถือหุ้นจากต่างประเทศ ขณะที่ธปท.ชี้ผลศึกษาศก.โต 0% คนว่างงาน 1.2 ล้านคน
ปัญหา
"คนตกงาน" ผลพวงจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก การชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย
และปัญหาการเมืองที่ยังรอความชัดเจน กำลังเป็นเรื่องใหญ่ที่ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย
ๆ โดยเฉพาะจากประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี)ในปี 2552
ที่คาดว่าจะโตต่ำกว่า 3% ทำให้มีคนตกงานเป็นหลักล้านคน
ในขณะที่ยังรอมาตรการของรัฐบาลเยียวยาผลกระทบ จากการสำรวจของ"ฐานเศรษฐกิจ"
พบว่าขณะนี้เริ่มมีการจัดกลุ่มเสี่ยงของธุรกิจหรือบริษัทที่มีความเสี่ยงต่อการถูกเลิกจ้าง
ประกันตกงานถอดใจ
จากการตรวจสอบไปยังบริษัทประกันภัยที่ยังรับประกันภัยคนตกงาน
ซึ่งขณะนี้มีบริษัทที่รับอยู่แห่งเดียว คือบริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน)
นาง
โดยเฉพาะประเภทธุรกิจกลุ่มเสี่ยงสูงมากซึ่งบริษัทจะปฏิเสธการรับประกัน
ได้แก่ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกทุกประเภท ได้แก่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า ของเล่นเด็ก รองเท้า
ธุรกิจที่มีกิจการขนาดลดลงหรือควบรวมกิจการจากผลประกอบการขาดทุน
ธุรกิจที่มีผู้ถือหุ้นจากต่างประเทศ หรือสถาบันการเงินและธุรกิจลีสซิ่งที่มีเงินทุนจากต่างประเทศ
จากเดิมบริษัทยังรับประกันรายบุคคลบางกรณี อาทิ ตำแหน่งไม่มีผลต่อการถูกเลิกจ้าง
เช่น พนักงานบัญชี
"ที่ผ่านมาเริ่มมีผู้เอาประกันที่เข้ามาเคลมสินไหม
อาทิ ผู้ซื้อประกันที่อยู่ในธุรกิจโบรกเกอร์ที่ซื้อประกันเป็นลูกจ้าง
4-5 คน แต่หลังจากที่ซื้อประกันไปแล้ว ปรากฏว่าโบรกเกอร์ได้ปิดกิจการ แต่อย่างไรก็ตาม โดยรวมขณะนี้ยอดเคลมสินไหมที่จ่ายไปไม่ถึง 5%
ของที่รับทำประกันไว้ จากจำนวนลูกค้าหลักพันราย"
ขึ้นเบี้ย-เจาะกลุ่มรายได้สูง
นอกจากนี้
ในปีหน้าเตรียมปรับขึ้นเบี้ยประกันและทุนประกันให้สูงขึ้น
รวมทั้งพิจารณาปรับเพิ่มระยะเวลาเริ่มความคุ้มครองจากเดิม 30 วัน เป็น 60-90 วัน เนื่องจากบริษัทต้องการลดอัตราการสูญเสีย
จากกรณีกลุ่มลูกค้าที่รู้ตัวเองจะต้องว่างงานอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาได้เพิ่มความคุ้มครองให้แก่ฐานลูกค้าที่มีเงินเดือนประมาณ 60,000-70,000 บาท จากเดิมที่ให้ความคุ้มครอง 20,000 บาทต่อเดือน
เป็น 50,000 บาทต่อเดือน
(โดยตามเงื่อนไขจะให้ความคุ้มครองสูงสุด 6 เดือน)
ทั้งนี้แผนประกันภัยคุ้มครองรายได้"
(Income
Protection Plan) หรือ แบบประกัน
งานปลอดวิกฤติ
จะคุ้มครองรายได้สำหรับความสูญเสียในอาชีพที่ไม่อาจคาดคิด
จากการว่างงานในกรณีการถูกเลิกจ้างและการปิดกิจการ รวมถึงยังครอบคลุมถึงกรณี
"บาดเจ็บหรือเจ็บป่วยจนไม่สามารถทำงานได้
เป็นเหตุทำให้หยุดงานหรือถูกเลิกจ้าง ในภาวะที่เจ็บป่วยเกิน 30 วัน
หรือโรคร้ายแรงและเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จากอุบัติเหตุ
ระยะเวลาชดใช้สูงสุด 6 เดือน
มูลค่าความคุ้มครองสูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท แต่มีเงื่อนไข
คือ ผู้เอาประกันต้องเป็นพนักงานประจำอย่าง
น้อยเกิน
6
เดือนขึ้นไป และมีรายได้รายเดือนไม่น้อยกว่า 9,000
บาทต่อเดือน ไม่ครอบคลุมถึงกลุ่มผู้ใช้แรงงานหรือลูกจ้างรายวัน อาทิกลุ่มแรงงาน
พนักงานทำความสะอาด พนักงานอัตราจ้างและพนักงานรักษาความปลอดภัย
นอกจากนี้
จากการสอบถามความเห็นไปยังผู้บริหารของธนาคารพาณิชย์
ยังพบว่าการอนุมัติสินเชื่อให้แก่ลูกค้าหรือธุรกิจยังมีการจัดกลุ่มธุรกิจที่มีความเสี่ยง
และอาจถูกปฏิเสธการปล่อยวงเงินกู้ใหม่ หรือขอขยายวงเงินกู้เพิ่มเติม เช่น
ธุรกิจโรงแรม อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจท่องเที่ยว ขนส่ง โลจิสติกส์ ธุรกิจส่งออก เป็นต้น
ท่องเที่ยวอาการสาหัส
แหล่งข่าวระดับสูงจากภาคธุรกิจท่องเที่ยวไทย
กล่าวว่า การชะลอตัวด้านการท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นจากการปิดสนามบิน
ส่งผลให้ในขณะนี้ไปจนถึงปีหน้า ภาคธุรกิจโรงแรมไทยมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยไม่ถึง 20% ทั้งๆ
ที่ปกติในช่วงนี้ถือเป็นช่วงไฮซีซัน
ที่จะต้องมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 80-90%
ทำให้ธุรกิจโรงแรมต้องเดินหน้าลดค่าใช้จ่ายอย่างหนัก
ซึ่งนอกจากการเลิกจ้างพนักงานชั่วคราวและไม่รับพนักงานใหม่
ซึ่งดำเนินการไปแล้วก่อนหน้านี้ ล่าสุดในขณะนี้เริ่มมีการปลดพนักงานประจำ
โดยไม่นานมานี้
โรงแรมสุโขทัย กรุงเทพฯ ถือโอกาสปรับโครงสร้างองค์กร ด้วยการปลดพนักงานไปกว่า 86 คน
โดยพนักงานที่ถูกปลดจะเป็นกลุ่มคนที่มีอายุเกิน 40 ปี
และกลุ่มคนที่ทำงานเกิน 10 ปีขึ้นไป
เพื่อเป็นการถ่ายเลือดให้คงเหลือพนักงานในกลุ่มที่มีอายุไม่มาก
ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่มีความกระตือรือร้นในการทำงานมากกว่า ขณะที่ โรงแรมฮิลตัน หัวหิน ก็มีการปลดพนักงานลงไปแล้วจำนวนหนึ่ง
เช่นเดียวกับเชนสตาร์วู้ด
ซึ่งเป็นเชนระดับโลกได้มีการประกาศลดพนักงานทั่วโลกในปีหน้าลง 30% ด้วย ซึ่งทำให้หลายฝ่ายเริ่มหวั่นวิตกว่าจะมีผลถึงประเทศไทยด้วย
เนื่องจากสตาร์วู้ด ก็มีสำนักงานในไทยเช่นกัน
งัดโปรแกรมให้ลาหยุดเพิ่ม
ขณะที่มาตรการส่วนใหญ่ที่กลุ่มภาคธุรกิจโรงแรมใช้อยู่ในขณะนี้เป็นการทั่วไปคือโปรแกรมLeave without Pay(ให้ลาหยุดเพิ่มเติมจากวันหยุดปกติโดยไม่จ่ายเงินเดือน)ซึ่งเป็นทั้งการขอร้องและบังคับ
ซึ่งในขณะนี้มีการเพิ่มวันหยุดโดยไม่จ่ายเงินเดือนอยู่ที่ตั้งแต่ 3 วัน เป็นส่วนใหญ่ไปจนถึง 1 สัปดาห์
ซึ่งจะส่งผลให้พนักงานได้รับเงินเดือนลดลงอยู่ที่ 10-25%
นอกเหนือจากรายได้จากเซอร์วิสชาร์จ ที่ลดลงไปกว่า 40-50%
รวมไปถึงหลายโรงแรมก็ได้มีการปิดห้องอาหารในบางส่วน
โดยเฉพาะห้องอาหารไทย เพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างประเทศ อาทิ
ห้องอาหารไทยของโรงแรมสุโขทัย กรุงเทพฯ โฟร์ซีซัน กรุงเทพ และการปิดการขายบุฟเฟ่ต์มื้อกลางวันในบางห้องอาหารเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
เป็นต้น
นาย
ก.แรงงานนัดถก 15 ธ.ค.
จากสถานการณ์ตกงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกวันและกระจายในหลายธุรกิจ
ต่อกรณีดังกล่าว นาย
นอกจากนี้
ในวันที่ 1 มกราคม 2552 จะยังไม่มีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ
จากการที่ผลประชุมของคณะอนุกรรมาธิการค่าจ้าง
ได้ข้อสรุปว่าภาวะเศรษฐกิจได้รับผลกระทบมาก แต่จะพิจารณาไตรมาสที่ 2 แทน
ทั้งนี้
จากข้อมูลล่าสุดของกระทรวงแรงงาน พบว่ามีสถานประกอบการที่ต้องหยุดกิจการแล้ว 555 แห่ง
ลูกจ้างถูกเลิกจ้าง 46,638 คน
และมีสถานประกอบการที่มีแนวโน้มจะเลิกกิจการอีก 225 แห่ง
จีดีพีปีหน้า 2%
นอกเหนือจากผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจที่ทำให้ปัญหาตกงานขยายผลกระทบกว้างตั้งแต่ปี
2551 แล้ว ยังเป็นที่คาดการณ์ว่าผลกระทบจะรุนแรงมากในปี 2552 โดยเฉพาะขณะนี้มุมมองต่อประมาณการจีดีพีปีหน้า
ทั้งที่คาดการณ์โดยธนาคารโลก และนักเศรษฐศาสตร์
มองจีดีพีที่ 2%
นาย
สอดรับกับความเห็นของดร.
พร้อมกันนี้ธปท.ได้ทำการศึกษาถึงอัตราการว่างงานในปี
2552 พบว่ากรณีเลวร้ายสุดที่เศรษฐกิจอยู่ที่ระดับ 0%
ขณะที่มีแรงงานใหม่เข้าสู่ตลาด 0 - 2% ของกำลังแรงงาน
อาจส่งผลให้มีจำนวนคนว่างงานทั้งหมด 1.2 ล้านคน
ในขณะที่ในเชิงเศรษฐศาสตร์นั้นมีการศึกษาถึงผลกระทบของเศรษฐกิจที่โตไม่เกิน 3% ว่าจะส่งผลกระทบต่อปัญหาการว่างงานเพิ่มขึ้น
ขอขอบคุณรายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ