ถูกเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรม
สมาชิก ทำงานขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ ตำแหน่งรักษาการผู้จัดการ สายการเดินรถ 203ทำงานมาตั้งแต่เดือน
กรกฎาคม 2519 เรื่อยมาจนถึงวันที่
31 ตุลาคม 2550 เงินเดือนเดือนสุดท้าย 32,190 บาท
หลักจากได้รับการแต่งตั้งได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ ขสมก.
มอบหมายครบถ้วนทุกประการ
ไม่เคยกระทำการใด ๆ ที่ฝ่าฝืนข้อบังคับการทำงานแต่อย่างใด
เหตุคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2549 ลูกน้องของสมาชิก ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาในสายงาน ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้สมาชิก
รับเงินกู้สามัญจากสหกรณ์ออมทรัพย์พนักงาน ขสมก. สมาชิกไปรับเงินจากสหกรณ์ มาจำนวน
150,000 บาท แต่ไม่เอาไปให้ลูกน้อง โดยเอาไปใช้ส่วนตัว
ต่อมาเมื่อวันที่ 11
มีนาคม 2550 ลูกน้องสมาชิกได้ไปแจ้งความดำเนินคดีกับสมาชิก จนวันที่ 16
เมษายน 2550 สมาชิกและลูกน้องตกลงกันได้ จึงถอนแจ้งความ และได้คืนเงินให้กับลูกน้องไป สมาชิก ยังค้างเงินนายทะนงศักดิ์อยู่อีก
50,000 บาท
ต่อมาเมื่อเดือนสิงหาคม 2550 ลูกน้องสมาชิก
ได้ไปร้องเรียนผู้บังคับบัญชาของสมาชิก ตำแหน่งหัวหน้ากองเดินรถที่ 1 เขตการเดินรถที่ 7 ว่า สมาชิกซึ่งได้รับมอบอำนาจจากลูกน้องไปรับเงินจากสหกรณ์เงินกู้สามัญและนำเงินไปใช้ในประโยชน์ส่วนตัว
จนเมื่อประมาณเดือน สิงหาคม 2550 ขสมก.ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเบื้องต้น
วันที่ 31 ตุลาคม 2550 ขสมก.มีคำสั่งให้ออกจากการเป็นพนักงานของ
ขสมก.
โดยอ้างว่าใช้อำนาจหน้าที่หาผลประโยชน์ โดยให้เหตุผลในการให้ออกว่า
1.
จงใจไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
2.
ยอมให้ผู้อื่นอาศัยอำนาจหน้าที่ของตนเองหาประโยชน์
3.
ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
4. รายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา
5. กระทำการให้เสื่อมเสียความเที่ยงธรรม
6. ทำให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของตำแหน่ง
7. ทำให้เกิดความแตกแยกสามัคคี
8. ทำให้องค์การได้รับความเสียหาย
ต่อมาเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2550 สมาชิกได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งให้ออกจากการเป็นพนักงาน
ตามข้อบังคับ ขสมก. วันที่ 28 เมษายน
2551 ขสมก.ได้มีหนังสือแจ้งเรื่องการล้างมลทินให้กับสมาชิก
แต่ไม่ยอมให้กลับเข้าทำงาน กระทั่งวันที่
3 พฤศจิกายน 2550 ขสมก.
ได้แจ้งผลอุทธรณ์ว่ายืน
ตามคำสั่งลงโทษเดิม สมาชิก
ได้ฟ้องต่อศาลแรงงาน
เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2551
คำแนะนำทนายคลายทุกข์
1. ให้รวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อใช้ในการสืบพยานในชั้นศาล แสดงให้เห็นว่า มิได้กระทำความผิดในข้อกล่าวหาแต่ละข้อ
2.
จัดเตรียมพยานบุคคลและพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับข้อหาต่าง ๆ เพื่อใช้ในการสืบในชั้นศาล
3. แต่งตั้งทนายความ 1 คน เพื่อว่าความในคดีนี้
4. คดีประเภทนี้ ขสมก.สู้ทุกคดี เท่าที่ทนายคลายทุกข์มีประสบการณ์
5.
ศาลแรงงานจะเน้นการไกล่เกลี่ยมากกว่าเน้นการพิพากษา
เพราะต้องการให้นายจ้างและลูกจ้างหันหน้าเข้าหากัน เพื่อความสงบสุขของสังคม