ถูกฟ้องล้มละลาย
สมาชิกทนายคลายทุกข์ ขอคำปรึกษาเรื่องเป็นหนี้ ถูกฟ้องจนถึงเป็นคดีล้มละลาย เรื่องเกิดเมื่อปีประมาณปี พ.ศ. 2538 สมาชิกทนายคลายทุกข์
ได้ร่วมทำธุรกิจกับเพื่อน โดยรับเหมาทำประปาให้กับการประปาส่วนภูมิภาค
ที่จังหวัดระยอง สมาชิกทนายคลายทุกข์ได้เปิดบัญชีกระแสรายวันของสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง สาขาลาดกระบัง และเขียนเช็คไม่ระบุจำนวนเงินหลายฉบับ โดยมอบเช็คทั้งหมดไว้กับเพื่อนที่ทำธุรกิจร่วมกัน และเพื่อนที่ทำธุรกิจร่วมกันก็นำเช็คหลายฉบับไปจ่ายเพื่อชำระหนี้
ต่อมาเมื่อปี
พ.ศ. 2541 สมาชิกทนายคลายทุกข์ถูกฟ้องเป็นคดีแพ่ง
ศาลพิพากษาให้สมาชิกทนายคลายทุกข์จ่ายเงินให้สถาบันการเงิน ซึ่งสมาชิกทนายคลายทุกข์ไม่ทราบว่าถูกฟ้อง จนวันที่ 29 สิงหาคม 2551 สมาชิกทนายคลายทุกข์ถูกฟ้องคดีล้มละลาย
มูลหนี้เบิกเงินเกินบัญชี เงินต้นประมาณ 3,000,000 บาท ดอกเบี้ยประมาณ 6,000,000
บาทกว่า รวมหนี้ทั้งหมดจำนวน 9,439,897.69 บาท ปัจจุบันสมาชิกทนายคลายทุกข์มีรายได้เดือนละ
10,000 บาทเศษ มีภาระผ่อนบ้านเดือน 13,000 บาท มีบุตร 1 คน ภรรยาไม่มีรายได้
ขอคำปรึกษา 1. ต้องการเจรจากับโจทก์จะต้องทำอย่างไร
2. จะจัดการทรัพย์ของตนเองหลังถูกฟ้องอย่างไร
คำปรึกษาทนายคลายทุกข์และทีมงานทนายความ
1.
แต่งตั้งทนายความเข้าไปเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อลดยอดเงินที่ต้องชำระ
ซึ่งในทางปฏิบัติจะลดยอดหนี้ตามความสามารถของลูกหนี้ เนื่องจากลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สิน ลูกหนี้ควรเสนอชำระหนี้เพียงหลักแสน เช่น
2-3 แสนบาท คดีมีโอกาสจบได้โดยไม่ยากนัก
พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483
มาตรา 7
ลูกหนี้ที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวอาจถูกศาลพิพากษาให้ล้มละลายได้
ถ้าลูกหนี้นั้นมีภูมิลำเนาในราชอาณาจักร
หรือประกอบธุรกิจในราชอาณาจักรไม่ว่าด้วยตนเองหรือโดยตัวแทนในขณะที่มีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลาย
หรือภายในกำหนดเวลาหนึ่งปีก่อนนั้น
มาตรา 8
ถ้ามีเหตุอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้เกิดขึ้นให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า
ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว
(1)
ถ้าลูกหนี้โอนทรัพย์สินหรือสิทธิจัดการทรัพย์สินของตนให้แก่บุคคลอื่นเพื่อประโยชน์แห่งเจ้าหนี้ทั้งหลายของตน
ไม่ว่าได้กระทำการนั้นในหรือนอกราชอาณาจักร
(2)
ถ้าลูกหนี้โอนหรือส่งมอบทรัพย์สินของตนไปโดยการแสดงเจตนาลวง หรือโดยการฉ้อฉล
ไม่ว่าได้กระทำการนั้นในหรือนอกราชอาณาจักร
(3)
ถ้าลูกหนี้โอนทรัพย์สินของตนหรือก่อให้เกิดทรัพยสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดขึ้นเหนือทรัพย์สินนั้น
ซึ่งถ้าลูกหนี้ล้มละลายแล้ว จะต้องถือว่าเป็นการให้เปรียบ
ไม่ว่าได้กระทำการนั้นในหรือนอกราชอาณาจักร
(4)
ถ้าลูกหนี้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
เพื่อประวิงการชำระหนี้หรือมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้
ก. ออกไปเสียนอกราชอาณาจักร หรือได้ออกไปก่อนแล้วและคงอยู่นอกราชอาณาจักร
ข. ไปเสียจากเคหะสถานที่เคยอยู่
หรือซ่อนตัวอยู่ในเคหะสถาน หรือหลบไป โดยวิธีอื่น หรือปิดสถานที่ประกอบธุรกิจ
ค. ยักย้ายทรัพย์ไปให้พ้นอำนาจศาล
ง.
ยอมตนให้ต้องคำพิพากษาซึ่งบังคับให้ชำระเงินซึ่งตนไม่ควรต้องชำระ
(5) ถ้าลูกหนี้ถูกยึดทรัพย์ตามหมายบังคับคดี
หรือไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้
(6) ถ้าลูกหนี้แถลงต่อศาลในคดีใดๆ
ว่าไม่สามารถชำระหนี้ได้
(7)
ถ้าลูกหนี้แจ้งให้เจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดของตนทราบว่าไม่สามารถชำระหนี้ได้
(8)
ถ้าลูกหนี้เสนอคำขอประนอมหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตั้งแต่สองคนขึ้นไป
(9)
ถ้าลูกหนี้ได้รับหนังสือทวงถามจากเจ้าหนี้ให้ชำระหนี้แล้วไม่น้อยกว่าสองครั้งซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน
และลูกหนี้ไม่ชำระหนี้
มาตรา 9
เจ้าหนี้จะฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายได้ก็ต่อเมื่อ
(1) ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว
(2) ลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเป็นหนี้เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์คนเดียวหรือหลายคนเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท
หรือลูกหนี้ซึ่งเป็นนิติบุคคลเป็นหนี้เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์คนเดียวหรือหลายคนเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าสองล้านบาท
และ
(3)
หนี้นั้นอาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนไม่ว่าหนี้นั้นจะถึงกำหนดชำระโดยพลันหรือในอนาคตก็ตาม