การดำเนินคดีอาญาตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
(ตอนจบ)
6. ความผิดเกี่ยวกับการกรรโชก
หรือรีดเอาทรัพย์ ที่กระทำโดยอ้างอำนาจอั้งยี่ หรือซ่องโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา
ได้แก่
6.1
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 337 คือ การกรรโชกทรัพย์ด้วยการข่มขืนใจผู้อื่น
ให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน
โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ
ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญ หรือของบุคคลที่สาม
จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น โดยอ้างว่า
เป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการ
และมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย
หรือโดยสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปเพื่อกระทำการกรรโชกทรัพย์
6.2
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 338 คือ
การรีดเอาทรัพย์ด้วยการข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน
โดยขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยความลับ
ซึ่งการเปิดเผยนั้นจะทำให้ผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สามเสียหาย
จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น โดยอ้างว่า
เป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการ
และมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย
หรือโดยสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปเพื่อกระทำการกรรโชกทรัพย์
7.
ความผิดเกี่ยวกับการลักลอบหนีศุลกากรตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ได้แก่
พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 กล่าวคือ
7.1
ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ปัจจุบันยังมีผลใช้บังคับอยู่ ทั้งนี้มีการยกเลิกบางมาตรา
ของกฎหมายดังกล่าว และปรับปรุงบทกฎหมายดังกล่าวให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
โดยมีการตรากฎหมายศุลกากรขึ้น ใช้บังคับสืบมาอีก 15 ฉบับ ดังนี้
7.1.1
พระราชบัญญัติศุลกากรแก้ไขเพิ่มเติม ( ฉบับที่ 1 ) พ.ศ. 2471
7.1.2 พระราชบัญัติศุลกากรแก้ไขเพิ่มเติม
( ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2472
7.1.3
พระราชบัญญัติศุลกากรแก้ไขเพิ่มเติม ( ฉบับที่ 3 ) พ.ศ. 2474
7.1.4
พระราชบัญญัติศุลกากรแก้ไขเพิ่มเติม ( ฉบับที่ 4 ) พ.ศ. 2475
7.1.5 พระราชบัญญัติศุลกากร
(ฉบับที่ 6 ) พ.ศ. 2479
7.1.6 พระราชบัญญัติศุลกากร ( ฉบับที่
7 ) พ.ศ. 2480
7.1.7 พระราชบัญญัติศุลกากร (
ฉบับที่ 8 ) พ.ศ. 2480
7.1.8 พระราชบัญญัติศุลกากร (
ฉบับที่ 9 ) พ.ศ. 2482
7.1.9 พระราชบัญญัติศุลกากร (
ฉบับที่ 10 ) พ.ศ. 2483
7.1.10
พระราชบัญญัติศุลกากร ( ฉบับที่ 11 ) พ.ศ. 2490
7.1.11
พระราชบัญญัติศุลกากร ( ฉบับที่ 12 ) พ.ศ. 2497
7.1.12
พระราชบัญญัติศุลกากร ( ฉบับที่ 13 ) พ.ศ. 2499
7.1.13
ประกาศคณะปฎิวัติ ฉบับที่ 329 ลงวันที่ 13
ธันวาคม พ.ศ. 2515
7.1.14
พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 พ.ศ. 2528
7.1.15
พระราชบัญญัติศุลกากร ( ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2534
7.2 พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27
ความในตอนท้ายได้บัญญัติใหม่โดยพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2490 มาตรา
3 คือ การนำหรือพาของที่ยังไม่ได้เสียภาษี หรือของต้องจำกัด หรือของต้องห้าม
หรือที่ยังไม่ได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้อง เข้ามาในพระราชอาณาไทยก็ดี
หรือที่ส่งหรือพาของเช่นว่านี้ออกไปนอกพระราชอาณาจักรก็ดี
หรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆในการนำของเช่นว่านี้เข้ามาหรือส่งออกไปก็ดี
หรือย้ายถอนไป หรือช่วยเหลือให้ย้ายถอนไปซึ่งของดังกล่าวนั้นจากเรือกำปั่น
ท่าเทียบเรือ โรงเก็บสินค้า คลังสินค้า ที่มั่นคง หรือโรงเก็บของ
โดยไม่ได้รับอนุญาตก็ดี หรือให้ที่อาศัยเก็บหรือเก็บ หรือซ่อนของเช่นว่านี้
หรือยอม หรือจัดให้ผู้อื่นทำการเช่นว่านั้นก็ดี หรือเกี่ยวข้องด้วยประการใด
ๆในการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียค่าภาษีศุลกากร หรือในการหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงบทกฎหมายและข้อจำกัดใดๆ
อันเกี่ยวแก่การนำของเข้า ส่งของออก ขนของขึ้น เก็บของในคลังสินค้า
และการส่งมอบของ
โดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษีของรัฐบาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่จะต้องเสียสำหรับของนั้นๆ
ก็ดีหรือหลีกเลี่ยงข้อห้ามหรือข้อจำกัดอันเกี่ยวแก่ของนั้นก็ดี
7.3
พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ เพิ่มความโดยได้บัญญัติใหม่ตามพระราชบัญญัติศุลกากร
(ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2499 มาตรา 4 คือ การช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย
ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด
ซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงอากรข้อห้าม
หรือข้อจำกัด
8. ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย
9.
ความผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง
10.ความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์
11.ความผิดเกี่ยวกับการพนัน
การดำเนินคดีอาญาตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
พ.ศ.2542
การดำเนินคดีอาญาตามกฎหมายดังกล่าวประกอบด้วย
1. การดำเนินคดีอาญาในความผิดมูลฐาน
คือ
การดำเนินคดีในความผิดทางอาญาที่ระบุไว้เป็นความผิดมูลฐานในพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
พ.ศ.2542 มาตรา 3 ดังรายละเอียดของข้อหาที่กล่าวมาข้างต้น
2.
การดำเนินคดีอาญากับผู้ที่ฟอกเงิน หรือ ทรัพย์สิน ที่ได้มาจากการกระทำซึ่งเป็นความผิดมูลฐาน
หรือ จากการสนับสนุน ช่วยเหลือการกระทำซึ่งเป็นความผิดมูลฐาน กล่าวคือ
2.1 การโอน รับโอน หรือ
เปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อซุกซ่อน หรือ
ปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือ เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไม่ว่า ก่อน ขณะ หรือ
หลังการกระทำความผิดมิให้ต้องรับโทษ หรือ รับโทษน้อยลงในความผิดมูลฐาน
2.2 การกระทำด้วยประการใดๆ เพื่อปกปิด
หรือ อำพรางลักษณะที่แท้จริง การได้มา แหล่งที่ตั้ง การจำหน่าย การโอน
การได้สิทธิใด ๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด
2.3 การสนับสนุนการกระทำความผิด หรือ
ช่วยเหลือ ผู้กระทำผิดฐานฟอกเงิน ไม่ว่าก่อน หรือ ขณะกระทำความผิด
2.4 การจัดหา หรือ ให้เงิน หรือ
ทรัพย์สิน ยาพาหนะ สถานที่ หรือ วัตถุใดๆ หรือ กระทำการใดๆ
เพื่อช่วยให้ผู้กระทำความผิดฐานฟอกเงินหลบหนี หรือ เพื่อมิให้ผู้กระทำความผิดฐานฟอกเงินถูกลงโทษ
หรือ เพื่อให้ได้รับประโยชน์ในการกระทำความผิด
2.5 การพยายามกระทำความผิดฐานฟอกเงิน
2.6
การสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน
และมีการกระทำความผิดเกิดขึ้นเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน
3. การดำเนินคดีอาญากับสถาบันการเงิน ผู้มีหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด
หรือผู้เกี่ยวข้องฝ่าฝืน
หรือไม่ปฏิบัติตามที่พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542
กำหนดไว้กล่าวคือ
3.1 การไม่รายงานการทำธุรกรรม
3.2
การไม่ได้จัดให้ลูกค้าแสดงตนทุกครั้งก่อนการทำธุรกรรม
3.3
การไม่ได้จัดให้ลูกค้าบันทึกข้อเท็จจริงต่างๆเกี่ยวกับธุรกรรม
3.4
การไม่เก็บรักษารายละเอียดเกี่ยวกับการแสดงตนของลูกค้า
3.5
การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการธุรกรรม
3.6 การรายงานการทำธุรกรรม
หรือแจ้งข้อเท็จจริงกับสถาบันการเงิน โดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จ
หรือปกปิดความจริงที่ต้องแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบ
3.7 การไม่มาให้ถ้อยคำ
ไม่ส่งคำชี้แจงเป็นหนังสือ หรือไม่ส่งบัญชี เอกสาร หรือ หลักฐาน
หรือขัดขวางไม่ให้ความสะดวกในการปฏิบัติงานตามกฎหมาย
3.8
การทำให้บุคคลอื่นล่วงรู้ข้อมูลที่เก็บรักษาไว้โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
3.9 การยักย้าย ทำให้เสียหาย ทำลาย
ซ่อนเร้น เอาไปเสีย ทำให้สูญหาย หรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งเอกสาร หรือบันทึก ข้อมูล
หรือ ทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานยึดหรืออายัดไว้
3.10 การยักย้าย ทำให้เสียหาย ทำลาย
ซ่อนเร้น เอาไปเสีย ทำให้สูญหาย หรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งเอกสาร หรือบันทึก ข้อมูล
หรือ ทรัพย์สินที่รู้ หรือควรรู้ว่าจะตกเป็นของแผ่นดินตามกฎหมาย
3.11
การรู้ หรืออาจรู้ความลับในราชการเกี่ยวกับการดำเนินการตามกฎหมาย
กระทำด้วยประการใดๆ ให้ผู้อื่นรู้ หรืออาจรู้ความลับดังกล่าว โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ขอขอบคุณเนื้อหาสาระดี ๆ
จากเว็บไซต์ป.ป.ง.