บริษัททวงหนี้งานเข้าล้นพอร์ต
_ฟีดแบ็กคนตกงานเหนียวจ่าย/รับคนเพิ่มโวรายได้
8 หมื่น/เดือน
ธุรกิจรับจ้างทวงหนี้เฟื่องฟู สวนทางเศรษฐกิจซบ
อ้าแขนรับพนักงานเพิ่ม รองรับงานเข้าล้นพอร์ต
คาดเอ็นพีแอลกระฉูดท่ามกลางกระแสคนตกงานพุ่ง ขณะที่ต่างชาติเล็งขายทิ้งพอร์ตหนี้ เผยแนวโน้มเอ็นพีแอลบัตรเครดิต-สินเชื่อบุคคลและรถยนต์ไต่ระดับเป็นชั้นเลวมากขึ้น
'เจเอ็มที'โอดถูกนอนแบงก์บีบลดค่าจ้างทวงหนี้ หันปรับกลยุทธ์ซื้อหนี้มาบริหารเอง
ขณะที่คลังดอดใช้บริการเอกชนช่วยติดตามหนี้เอสเอ็มอีแบงก์
ปัญหา 'ว่างงาน' และเลิกจ้าง
กำลังเป็นประเด็นใหญ่ของสังคมไทยที่จะตามมา หลังผลกระทบของวิกฤติการเงิน
ลุกลามต่อเป็นวิกฤติเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายของปี 2551 และปี
2552
แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันธุรกิจเดียวที่มีการเติบโตสวนกระแสอยู่ในขณะนี้ คือ
ธุรกิจรับติดตามหนี้ ซึ่งเติบโตขึ้นทั้งปริมาณงานติดตามหนี้และจำนวนพนักงานที่ต้องรับเพิ่มขึ้น
++บ.ตามหนี้อู้ฟู่ คนไม่พอรองรับงาน
นาย
ดังนั้นในปีหน้าจึงมีแผนที่จะรับพนักงานติดตามหนี้เพิ่มอีก
150 คน จากปัจจุบันที่มีจำนวนพนักงานแล้ว 500 กว่าคน
ซึ่งถือเป็นการเพิ่มจำนวนพนักงานติดตามหนี้ที่ค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับในปีที่ผ่านมาซึ่งเพิ่มขึ้นเพียง
40-50 คน หรือปีนี้ที่เพิ่มประมาณ 100
คน
ปีนี้พอร์ตหนี้ที่บริษัทรับติดตามเพิ่มขึ้น 30-40%
สูงกว่าเฉลี่ยของปีที่ผ่านมาซึ่งเพิ่มขึ้น 20% โดยที่ส่วนใหญ่ยังเป็นหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล
แต่คาดว่าในปีหน้าเอ็นพีแอลจะสูงขึ้นกว่านี้อีก
จึงต้องเพิ่มจำนวนพนักงานไว้รองรับให้เพียงพอ โดยปัจจุบันพนักงานติดตามหนี้ 1 ราย มีภาระในการติดตามหนี้เฉลี่ยประมาณ 300-500
บัญชี และผลตอบแทนสูงสุดที่พนักงานติดตามหนี้เคยได้รับอยู่ที่ประมาณ 70,000-80,000 บาทต่อเดือน
"ผู้ที่ต้องตกงานเพราะถูกผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
ให้เข้ามาสมัครเป็นพนักงานติดตามหนี้ เพราะตอนนี้กำลังต้องการคนเพิ่ม
แต่งานนี้เป็นงานที่ต้องใช้ศิลปะในการพูด
นาย
ปัจจุบัน พอร์ตหนี้จำนวน 60,000 ล้านบาท
ที่บริษัทบริหารอยู่นั้น ประกอบด้วยลูกหนี้ 3 ประเภทคือ A
ยอดค้างชำระ 1 ปีมีค่าตอบแทนตั้งแต่ 25-35%
(โดยกลุ่ม Aแบ่งเป็นหลายพอร์ต) ส่วนกลุ่ม B
สภาพหนี้ที่ค้างชำระ 2 ปี อัตราค่าจ้างอยู่ที่
40-50% และกลุ่มC สภาพหนี้ค้างชำระเกิน
2 ปีขึ้นไปค่าจ้างอยู่ที่ 60%
ซึ่งบริษัทมีพอร์ตหนี้กลุ่มC อยู่เกือบ 50% โดยรวมพอร์ตหนี้จะมีลูกหนี้ทุกประเภท ขณะที่บริษัทมีทีมติดตามหนี้รวม 400 คน และดำเนินการจัดเก็บเป็นทีมๆละ 20 คน
++สัญญาณหนี้ชั้นเลวปูด
นาย
แนวโน้มปีหน้ายิ่งในภาวะที่เศรษฐกิจไม่ดี
หนี้เสียก็จะตกมาเยอะขึ้น ธุรกิจเร่งรัดหนี้มีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้น
แต่ในขณะเดียวกันก็จะตามหนี้ได้ยากขึ้นเช่นกัน ซึ่งอาจจะมีผลให้กำไรโดยรวมลดลง
โดยที่ปัจจุบันกำไรของบริษัทเติบโตไม่ถึง 10% จากปีก่อนหน้าที่โตมากกว่า 10%
แต่อย่างไรก็ตามธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่ถือว่าสามารถสร้างงานให้แก่พนักงานติดตามหนี้ได้
และเป็นธุรกิจที่ยังมีกำไรพอประคับประคองตัวเองได้
++แบงก์สั่งตามหนี้ถี่ขึ้น
จากที่ "ฐานเศรษฐกิจ"
สำรวจไปยังธนาคารพาณิชย์ที่ปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ถึงแนวโน้มยอดการยึดรถ
โดยนาย
อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน
ธนาคารมีการติดตามหนี้ถี่ขึ้นและคุยกับลูกหนี้มากขึ้น
โดยนอกเหนือจากทีมตามหนี้ภายนอก 100
กว่าทีมที่ทำหน้าที่ติดตามหนี้เช่าซื้อรถยนต์ที่ยึดแล้ว หรือค้างชำระเกิน 3 เดือนขึ้นไป ยังมีเจ้าหน้าที่ของธนาคารอีก 50
คนที่ทำหน้าที่โทร.ตามหนี้ลูกหนี้ที่ค้างชำระ 1 เดือน 2 เดือน และ 3 เดือน
ล่าสุด
ธนาคารมอบหมายให้เจ้าหน้าที่การตลาดเปลี่ยนหน้าที่จะปล่อยสินเชื่ออย่างเดียว
ต้องลงไปติดตามหนี้ด้วย เพราะเจ้าหน้าที่การตลาดที่ปล่อยสินเชื่อ
เป็นคนแรกที่เจอกับลูกค้าก่อนที่จะมีการอนุมัติสินเชื่อ
หรือแต่เดิมที่ไม่มีการติดตามหนี้ในวันเสาร์-อาทิตย์
ขณะนี้ก็ต้องมีการติดตามหนี้ในวันเสาร์และอาทิตย์ด้วยเช่นกัน
เช่นเดียวกับนาย
++เคทีบีลีสซิ่งแก้เกมมุ่งเป้าขรก.
นาย
โดยเฉพาะเบื้องต้นของการพิจารณานั้นบริษัทกำหนดรายได้ลูกค้าตั้งแต่
7,000 บาทไปจนถึง 50,000 บาทขึ้นไป
เฉลี่ยปัจจุบันลูกค้ามีรายได้ที่ 10,000 บาทต่อราย
อีกทั้งการอนุมัติวงเงินสินเชื่อก็กำหนดให้ลูกค้ามีรายได้จากเงินเดือนคงเหลือประมาณ
40-50% เพื่อการชำระแล้ว
สำหรับแนวโน้มการขยายฐานลูกค้าใหม่นั้น
บริษัทจะเน้นกลุ่มเป้าหมายเฉพาะข้าราชการเท่านั้น
เพราะเป็นฐานลูกค้าที่มีความชัดเจนทั้งหน่วยงานต้นสังกัด รายได้และโอกาส
ขณะเดียวกันยังต้องพิสูจน์ฐานะทางการเงินย้อนหลัง 3 เดือน
หรืออาจจะเพิ่มอายุการทำงานให้ยาวจากเดิมที่กำหนดไว้ 1ปี
++คลังจ้างเอกชนตามหนี้SMEแบงก์
นอกจากนี้ มีรายงานข่าวว่า
กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย
(เอสเอ็มอีแบงก์) อยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางในการแก้ปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
(เอ็นพีแอล) ของธนาคารที่มีอยู่จำนวนกว่า 20,000 ล้านบาท
หรือเกือบ 50% ของสินเชื่อรวม
โดยล่าสุดผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการคลังได้เรียกบริษัทติดตามหนี้ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งเข้าไปสอบถามเกี่ยวกับงานเร่งรัดหนี้
ซึ่งจะมีการจ้างให้บริษัทเอกชนเข้าไปดำเนินการติดตามหนี้ในก้อนดังกล่าวให้
++โอดแบงก์บีบลดค่าจ้างตามหนี้
ทางด้าน นาย
++เพิ่มพอร์ตรับซื้อหนี้มาบริหารเอง
นอกจากนี้ ในปี 2552
ได้ปรับแผนที่จะปรับสัดส่วนพอร์ตการรับจ้างบริหารหนี้ให้เหลือ 50% จากปัจจุบันที่มีพอร์ตรับจ้างติดตามหนี้ในสัดส่วนถึง 80% ขณะเดียวกันจะเพิ่มพอร์ตรับซื้อหนี้เข้ามาบริหารเองจาก 20% เป็น 50% จากปัจจุบันซึ่งพอร์ตหนี้คงค้างรวมทั้งหมด
10,000 ล้านบาท
ในส่วนของการรับซื้อหนี้มาบริหารเองนั้น
ขณะนี้มีพอร์ตหนี้ที่บริษัทอยู่ระหว่างตรวจสภาพสินทรัพย์จำนวน 500 ล้านบาท
ลูกค้าประมาณ 10,000 ราย
ส่วนในปีหน้ายังอยู่ระหว่างการศึกษาตลาด
โดยเบื้องต้นคาดว่าธุรกิจธนาคารพาณิชย์มีความจำเป็นที่จะต้องตัดขายหนี้ที่มีอายุ 6 เดือน หรือ 1 ปีออกมา
เพื่อบริหารความเสี่ยงจากโอกาสในการติดตามหนี้ที่ยากขึ้น
ซึ่งในส่วนนี้บริษัทมีความพร้อมที่จะเจรจารับซื้อพอร์ตเดิมที่รับจ้างบริหารอยู่และหนี้ใหม่ในระบบ
โดยคาดว่าประมาณปลายเดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคมจะเริ่มเห็นสถาบันการเงินหลายแห่งทยอยขายเอ็นพีแอลสู่ระบบ
นายปิยะกล่าวว่า
การรับซื้อหนี้มีโอกาสที่จะทำกำไรถึง 30% โดยภายในระยะเวลา 3 ปี บริษัทต้องตั้งสำรองหนี้สูญไว้ แต่หลังจากนั้นบริษัทสามารถมีกำไร 100% จากการเรียกเก็บหนี้ส่วนที่คงเหลือโดยมีอายุ 10 ปี
ซึ่งหากเปรียบเทียบผลตอบแทนจากการรับจ้างติดตามหนี้ในปัจจุบันมีรายได้เพียง 18% เท่านั้น โดยปัจจุบันบริษัทมีพอร์ตหนี้ที่รับซื้อเข้ามาบริหารเอง 2,000 ล้านบาท จากพอร์ตหนี้ทั้งหมด 10,000 ล้านบาท
"ตอนนี้อยู่ระหว่างศึกษาว่าจะมีเอ็นพีแอลที่ออกมาขายเท่าไร เพื่อเตรียมงบประมาณไว้รับซื้อไม่อั้น
เพราะมีความพร้อมทั้งเงินทุนและทีมงาน
โดยหนี้ที่รับซื้อมานั้นจะทำให้บริษัทมีสินทรัพย์เป็นของตัวเอง
สามารถบริหารจัดการได้โดยไม่มีเงื่อนไขเรื่องการฟ้องคดีหรือดำเนินคดีกรณีที่ลูกหนี้ผิดสัญญา
และมีโอกาสรักษากำไรจากเฉลี่ยในขณะนี้ที่ 15%
ขึ้นไปมีกำไรเป็น 30%"นายปิยะกล่าว
สำหรับแนวโน้มการรับจ้างติดตามหนี้
เป็นโจทย์ที่ท้าทายมากขึ้น เพราะลูกหนี้ที่มีกำลังในการชำระหนี้ลดลง
ทำให้บริษัทต้องหันมาเน้นการติดตามหนี้ด้วยการเจรจาและให้โอกาส
ด้วยการให้ลูกหนี้สามารถผ่อนชำระขั้นต่ำ เช่น
หนี้ส่วนบุคคลต่อรายกำหนดให้จ่ายขั้นต่ำได้ที่ 1,000-2,000
บาทต่อเดือนจากยอดหนี้ค้าง 10,000-20,000 บาท
รวมทั้งการปรับกลยุทธ์ในการเรียกเก็บหนี้โดยเพิ่มจำนวนบัญชีต่อพนักงานแต่ละรายในการเรียกเก็บหนี้มากขึ้น
โดยหวังว่ามูลหนี้ของการชำระหนี้ของลูกหนี้ที่ลดลงจะไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินคดีฟ้องร้องลูกค้า
แม้ว่าแนวโน้มหนี้ส่วนบุคคลมีโอกาสเพิ่มขึ้นทั้งวงเงินกู้ทั่วไป เช่าซื้อ
และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย
ขอขอบคุณรายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ