ทำความรู้จัก...ศาลผู้บริโภค
ศาลผู้บริโภคหรือศาลแผนกคดีผู้บริโภค
เป็นระบบวิธีพิจารณาคดีทางแพ่งของศาลยุติธรรมรูปแบบใหม่ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค
พ.ศ.2551 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2551 เป็นต้นมา
ประชาชนในฐานะผู้บริโภคหรือผู้ได้รับความเสียหายจากสินค้าอันตรายต่าง
ๆ สามารถใช้สิทธิฟ้องร้องต่อแผนกคดีผู้บริโภคที่มีประจำอยู่ในศาลแขวง ศาลจังหวัด
และศาลแพ่งทุกแห่ง
โดยระบบวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคจะเอื้อต่อการใช้สิทธิของผู้บริโภค
เป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว เที่ยงธรรม และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการให้ความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการให้ดียิ่งขึ้น
ผู้ยื่นฟ้องสามารถฟ้องด้วยวาจาหรือเป็นหนังสือก็ได้
ฟ้องด้วยตนเองหรือแต่งทนายความ
หรือขอให้คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคหรือสมาคมที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภครับรอง
ดำเนินการฟ้องร้องแทนให้ก็ได้โดยไม่ต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียม
และประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากสินค้าที่เป็นอันตรายไม่ต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมเช่นกัน
ซึ่งทั้งสองกรณีต้องไม่เป็นการเรียกค่าเสียหายเกินควร
ไม่เช่นนั้นศาลอาจมีคำสั่งให้ชำระค่าฤชาธรรมเนียมในภายหลังได้
ที่สำคัญการที่ผู้บริโภคไม่มีความรู้
ขาดข้อมูลในหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตของผู้ประกอบการ ดังนั้น
ในคดีผู้บริโภคจึงกำหนดให้ภาระการพิสูจน์เป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการ
จึงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการต่อสู้คดีให้กับผู้บริโภคเป็นอย่างมาก
คดีแบบไหนที่ศาลจะรับดำเนินคดีและพิจารณาคดีเป็นคดีผู้บริโภค
- คดีแพ่ง
ที่ผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจมีข้อพิพาทกันเนื่องจากการบริโภคสินค้าหรือบริการ
- คดีแพ่ง
ที่ประชาชนได้รับความเสียหายที่เกิดจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย
- คดีแพ่ง ที่เกี่ยวพันกับคดีทั้ง 2 ข้อข้างต้น
- คดีแพ่งอื่นที่มีกฎหมายบัญญัติให้เป็นคดีผู้บริโภค
ใครบ้างที่สามารถฟ้องร้องเป็นคดีผู้บริโภคได้
1.
ผู้บริโภค
หมายถึง
ผู้ซื้อหรือผู้ได้รับบริการจากผู้ประกอบธุรกิจหรือผู้ซึ่งได้รับการเสนอหรือการชักชวนจากผู้ประกอบธุรกิจเพื่อให้ซื้อสินค้าหรือรับบริการ
และหมายความรวมถึงผู้ใช้สินค้าหรือผู้ได้รับบริการจากผู้ประกอบธุรกิจโดยชอบ
แม้มิได้เป็นผู้เสียค่าตอบแทนก็ตาม
หากยื่นฟ้องในข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิผู้บริโภคที่ไม่ใช่ความเสียหายที่เกิดจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยอาจต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมเอง
แต่หากคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคหรือสมาคมที่ได้รับการรับรองฟ้องแทน
จะได้รับการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมเว้นแต่เป็นการเรียกค่าเสียหายเกินควร
2.
ผู้ประกอบธุรกิจ
หมายถึง ผู้ขาย ผู้ผลิตเพื่อขาย
ผู้สั่งหรือนำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อขายหรือผู้ซื้อเพื่อขายต่อซึ่งสินค้า
หรือผู้ให้บริการ และหมายความรวมถึงผู้ประกอบกิจการโฆษณาด้วย
การยื่นฟ้องต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียม
3.
ผู้เสียหาย
หมายถึง
ผู้ได้รับความเสียหายที่เกิดจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย
ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย สุขภาพ อนามัย จิตใจ หรือทรัพย์สิน
แต่ไม่รวมถึงความเสียหายต่อตัวสินค้าที่ไม่ปลอดภัยนั้น
การยื่นฟ้องไม่ต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมเว้นแต่เรียกค่าเสียหายเกินควร
ขั้นตอนการยื่นฟ้องต่อศาลคดีผู้บริโภค
1.ผู้บริโภคหรือผู้เสียหาย
มีสิทธิยื่นฟ้องต่อศาลที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่หรือต่อศาลแห่งอื่นได้
แต่ผู้ประกอบธุรกิจจะฟ้องคดีผู้บริโภคได้เฉพาะเขตศาลที่ผู้บริโภคมีภูมิลำเนาอยู่เท่านั้น
2. ให้ยื่นฟ้องต่อศาล
ที่แผนกคดีผู้บริโภค ภายในความ 3
ปีนับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหาย หากเลยกำหนดนี้ถือว่าขาดอายุความ
3. หากความเสียหายไม่เกิน 300,000 บาท ให้ยื่นฟ้องต่อศาลแขวง ถ้าเกิน 300,000
บาทให้ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัด หากอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ให้ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง
4. ในการฟ้องคดีผู้บริโภค
สามารถฟ้องด้วยวาจาหรือเป็นหนังสือก็ได้
5.
การยื่นฟ้องด้วยวาจา เจ้าพนักงานคดีจะเป็นผู้บันทึกคำฟ้อง
และให้โจทก์ลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญ
ดังนั้นผู้ฟ้องจึงสามารถยื่นฟ้องได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องมีทนายความก็ได้
6.คำฟ้องต้องมีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุที่ต้องมาฟ้องคดี
รวมทั้งต้องมีคำขอบังคับให้จำเลยชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นชัดเจนพอที่จะให้เข้าใจได้
7.เมื่อศาลรับคำฟ้องแล้ว
ศาลจะกำหนดวันนัดพิจารณาโดยเร็ว
และออกหมายเรียกจำเลยให้มาศาลตามกำหนดนัดเพื่อไกล่เกลี่ย ให้การ
และสืบพยานในวันเดียวกัน ข้อดีของศาลคดีผู้บริโภค
- ศาลยุติธรรมที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นศาลผู้บริโภค
- ระบบวิธีพิจารณาคดีเอื้อต่อการใช้สิทธิของผู้บริโภค
- การพิจารณาคดีเป็นไปอย่างสะดวก
รวดเร็ว และเที่ยงธรรม
- ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการให้ความสำคัญต่อคุณภาพสินค้าและบริการ
- ภาระพิสูจน์เกี่ยวกับสินค้าตกแก่ผู้ประกอบธุรกิจ
- กระบวนวิธีพิจารณาคดีรวดเร็วขึ้น
และคำพิพากษาถือเป็นที่สิ้นสุดที่ศาล
อุทธรณ์เท่านั้น
- ให้การคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา
- ศาลอาจจะใช้ผลการพิจารณาคดีเดิม
เป็นฐานในการกรณีพิจารณาคดีที่ใกล้เคียง
กันได้
ศาลคดีผู้บริโภคมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบกิจทำอะไรได้บ้าง
- เปลี่ยนสินค้าให้ใหม่
แทนการแก้ไขซ่อมแซม
- ให้ทำประกาศเรียกรับสินค้าคืนจากผู้บริโภค
- ห้ามจำหน่ายสินค้าที่เหลือ
เรียกเก็บสินค้าที่ยังไม่ได้จำหน่าย หรือให้ทำลายสินค้าที่เหลือ
กรณีที่สินค้าอาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคโดยส่วนรวม หากไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง
ศาลมีอำนาจสั่งจับกุมและกักขังผู้ประกอบธุรกิจได้
- จ่ายค่าเสียหายเกินคำขอของผู้บริโภคได้หากเห็นว่าเกิดความเสียหายมากกว่าที่ได้ขอไป
- จ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเพิ่มขึ้นจากค่าเสียหายที่แท้จริง
ฯลฯ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Consumerthai