การไกล่เกลี่ยและการประนอมข้อพิพาท
ทนายคลายทุกข์ขอนำความรู้เกี่ยวกับการไก่เกลี่ยและการประนอมข้อพิพาท จากเว็บไซต์ www.judiciary.go.th เกี่ยวกับความหมายการไกล่เกลี่ย การไกล่เกลี่ยคืออะไร ผู้ไกล่เกลี่ยคือใคร ขั้นตอนการไกล่เกลี่ย สิ่งที่คู่ความต้องมี ขั้นตอนการเข้าสู่ระบบ ผลที่ได้รับและประโยชน์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีประโยชน์ต่อทุกคน ซึ่งรายละเอียดดังกล่าวมีดังต่อไปนี้
การไกล่เกลี่ย คือ
กระบวนการระงับข้อพิพาทที่มีบุคคลที่สามมาช่วยเหลือให้คู่ความต่อรองกันได้สำเร็จ
การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในศาล หมายถึง
การที่ผู้ไกล่เกลี่ยทำการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทซึ่งเป็นคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลตั้งแต่ศาลรับฟ้องจนถึงก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้กับคู่ความ
เป็นการช่วยให้คู่ความทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกัน
แต่ผู้ไกล่เกลี่ยไม่มีอำนาจในการกำหนดข้อตกลงให้แก่คู่ความแต่อย่างใด
โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดการประนีประนอมยอมความให้จากความสมัครใจของคู่ความทั้งสองฝ่ายเป็นสำคัญ
ดังนั้น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจขอยกเลิกการไกล่เกลี่ยเสียเมื่อใดก็ย่อมได
ผู้ไกล่เกลี่ย
คือ ผู้พิพากษาประจำศาลต่างๆ
บุคคลหรือคณะบุคคลที่ผู้พิพากษาแต่งตั้งให้เป็นผู้ประนีประนอม
โดยผู้พิพากษาหรือบุคคลดังกล่าวเป็นผู้มีความสนใจมีความพร้อมและสมัครใจที่จะทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยซึ่งมีความเป็นกลาง
ไม่มีอคติสามารถให้ความเป็นธรรมกับคู่ความทุกฝ่ายได้ถูกต้องตรงตามความประสงค์ของคู่ความ
ช่วยแก้ไขปัญหาให้แก่คู่ความทุกฝ่ายและเป็นผู้ช่วยทำให้ข้อพิพาททั้งหลายยุติลงอย่างฉันมิตร
ผู้ไกล่เกลี่ยมีหน้าที่ในการช่วยให้คู่ความทั้งสองฝ่ายตกลงประนีประนอมยอมความกัน
ไม่มีหน้าที่ตัดสินชี้ขาดข้อพิพาทหรือคดีระหว่างความแต่อย่างใด
สิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการที่จะไกล่เกลี่ยให้ประสบความสำเร็จ
หากคู่ความมีสิ่งเหล่านี้ คือ
1. ความต้องการที่จะให้ไกล่เกลี่ย
2. ความรับผิดชอบส่วนตัว
3. ความตั้งใจที่จะไม่ตกลงด้วย และ
4. ความตั้งใจที่จะตกลงด้วย
การไกล่เกลี่ย
ส่งผลสองทางคือคู่กรณีทั้งสองฝ่ายพอใจทั้งคู่หรือเรียกว่า ชนะทั้งคู่ (win-win) จึงเป็นผลที่ตรงตามความมุ่งหมายของการไกล่เกลี่ย
เช่นเจ้าหนี้ก็ได้รับชำระหนี้แม้อาจไม่เต็มจำนวน ลูกหนี้ก็ได้รับการลดหย่อน เช่น
การผ่อนเวลาให้หรือการกำหนดเวลาปลอดดอกเบี้ยให้ เป็นต้น
แต่การไกล่เกลี่ยคู่ความยังมีสิทธิในการดำเนินกระบวนพิจารณาตามปกติ
เมื่อกระบวนการพิจารณาคดีทางศาลยุติธรรมเปลี่ยนแปลงไปโดยมีการนัดพิจารณาคดีแบบต่อเนื่องติดต่อกันไปจนกว่าจะเสร็จสิ้น
ดังนั้น
จึงแบ่งการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ดังนี้
1. สำหรับคดีฟ้องใหม่
เมื่อโจทก์ยื่นฟ้อง เจ้าหน้าที่แผนกรับฟ้องจะนัดคู่ความมาไกล่เกลี่ยก่อนนัดสืบพยานประมาณ 2 เดือน
โดยจะประทับตรายางวันนัดไกล่เกลี่ยไว้ที่หมายเรียก ฯ
สำหรับจำเลยที่ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแล้วควรมาศาลเพื่อไกล่เกลี่ยตามวันนัด
2. สำหรับคดีที่อยู่ระหว่างพิจารณา แยกเป็น 3 กรณี ได้แก่
2.1
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเห็นว่าสำนวนใดสมควรใช้ระบบไกล่เกลี่ยก็ส่งให้นำคดีนั้นเข้าสู่ระบบไกล่เกลี่ย
2.2
ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเห็นว่าสมควรใช้ระบบการไกล่เกลี่ยก็ส่งเข้าสู่ระบบไกล่เกลี่ย
2.3 คู่ความยื่นคำแถลง หรือ
แถลงด้วยวาจาขอใช้วิธีการไกล่เกลี่ยและผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนส่งสำนวนเข้าสู่ระบบไกล่เกลี่ย
3. การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน
ผู้พิพากษาซึ่งเป็นเจ้าของสำนวนที่พิจารณาตัดสินชี้ขาดคดีนั้น
อาจดำเนินการไกล่เกลี่ยคดีได้เอง ทั้งก่อนหรือในระหว่างพิจารณาคดีเพื่อให้คู่ความตกลงกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ผลที่คู่ความจะได้รับจากการไกล่เกลี่ย
1
คู่ความสามารถตกลงกันได้ด้วยการถอนฟ้อง
2 คู่ความ
สามารถตกลงกันได้โดยทำสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วขอให้ศาลมีคำพิพากษาตามยอม
3 คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถอนตัวจากการไกล่เกลี่ยขอให้ดำเนินคดีด้วยวิธีการพิจารณาตามปกติได้เช่นเดิม
4 คู่ความตกลงกันไม่ได้
ศาลก็จะส่งสำนวนไปดำเนินกระบวนการพิจารณาตามปกติ
ประโยชน์ของการไกล่เกลี่ย
การไกล่เกลี่ยที่ประสบผลสำเร็จจนคู่ความตกลงประนีประนอมยอมความกันได้เป็นประโยชน์ดังนี้
1. ทำให้คู่ความสามารถหันหน้าเข้าหากันได้อีกอย่างฉันมิตร
2. ในบางกรณีคู่ความสามารถดำเนินธุรกิจติดต่อกันได้อีก
3. ประหยัดค่าใช้จ่าย
ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีของคู่ความลดลง
4. คู่ความได้รับความพึงพอใจ
5. คู่ความไม่ต้องประสบกับการบังคับคดีที่ยุ่งยากในศาล
6. ช่วยลดปริมาณคดีที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาล
ทำให้คดีที่ทำการไกล่เกลี่ยและคดีอื่นๆ สามารถย่นระยะเวลาพิจารณาได้เร็วขึ้น
7. ลดปริมาณคดีที่จะขึ้นสู่ศาลอุทธรณ์
และศาลฎีกา
8. ก่อให้เกิดความสงบสุขในสังคม
9. รัฐประหยัดงบประมาณที่จะต้องใช้ในการจัดให้มีการดำเนินการพิจารณาคดี
หรือข้อพิจารณาของประชาชนโดยรวม
ขอขอบคุณ www.judiciary.go.th ที่เอื้อเฟื้อประโยชน์สาธารณะ