สายลับอำนวยพร มณีวรรณ์
อยากเห็นนักสืบไทยเป็นเหมือนเอฟบีไอ
คอลัมน์ สัมภาษณ์พิเศษ
เรื่อง อาทิตย์ทรงกลดและข้ามสมุทร
"เป้าหมายกำลังเดินออกจากร้านทางประตูข้าง ไปที่ลานจอดรถ หลังจากได้รับโทรศัพท์" มันไม่ใช่ประโยคสนทนาเท่ๆในหนังฮอลลีวู้ด แต่มันคือชีวิตจริงยิ่งกว่าเรียลลิตี้โชว์ของอำนวยพร มณีวรรณ์ สายลับสาวจากที่ราบสูง
เธอสร้างนิยามใหม่ให้อาชีพสายลับด้วยการเปิดเผยหน้าตาต่อสาธารณชน หากมีการโหวตขาประจำรายการทอล์คโชว์ที่ไม่ใช่ดารา
เธอก็ถือเป็นหนึ่งในตัวเต็ง
สามหนุ่มสามมุมวาไรตี้ วีไอพี โชว์ สบายสไตล์มยุรา สาระแนจัง
เรื่องจริงผ่านจอ โซนนิ่ง ข่าวเช้า ไอทีวี สยาม ทูเดย์ เธอไปเยี่ยมมาหมดแล้ว ปิดท้ายด้วยการเล่นเกมอัจฉริยะข้ามคืน
อาชีพของเธอต้องใช้ไหวพริบ
และเป็นกระจกเงาสะท้อนสภาพชีวิตของคนที่นับวันก็จะเพิ่มความไม่ไว้วางใจกันมากขึ้นทุกที แม้แต่คนที่นอนเตียงเดียวกันทุกคืน
"พี่เป็นคนจังหวัดนครราชสีมา มีพี่น้อง 5 คน
พ่อแม่เห็นว่าถ้าอยู่ที่บ้านก็ต้องเลี้ยงควายแน่ๆ
เลยส่งให้มาอยู่กับลุงกับป้าที่กรุงเทพฯ
ตั้งแต่อายุ 12 ขวบ
โดยยกให้เป็นลูกบุญธรรมเลย
ท่านจะได้ส่งเสียให้ได้เรียนหนังสือ ท่านคงมองมองเห็นว่ามีลูกหลายคนอาจส่งเสียให้เรียนไม่ไหว พี่เรียนตั้งแต่ ม.1 จนจบอนุปริญญาด้านบัญชีจาก วิทยาลัยอินทราชัย
แต่หลังจากที่เป็นนักสืบก็ไปเรียนต่อระดับปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยศรีปทุม ทำงานมาหลายอย่าง
แผนกจัดซื้อ คุมสต็อกบ้าง สโตร์บ้าง
ที่บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้า ขายประกัน
เป็นพนักงานบัญชีในบริษัทรักษาความปลอดภัย
พนักงานบัญชีและลูกค้าสัมพันธ์สำนักงานกฎหมาย
เขาทำเรื่องกฎหมายด้วยและมีนักสืบแต่ใช้สืบเรื่องสืบจับตามหมายจับ ก็คือ
ถ้าเรามีปัญหาคดีความด้านธุรกิจการจ่ายเช็ค เช็คเด้ง มีการฟ้องศาล มีการออกหมายจับ
ก็จะมีการสืบพอเสร็จปุ๊บก็จะมีการสืบทรัพย์บังคับคดี ยึดทรัพย์ตามคำพิพากษา
ตอนนั้นการสืบเรื่องชู้สาวยังไม่มีและยังไม่มีใครรู้จักพี่ด้วย
พี่มีหน้าที่คอยดูแลลูกค้าที่มาดิวงานกับบริษัท
เราต้องเป็นคนรับหน้า เนื่องจากว่าเราก็ต้องทำรายงานให้เขาเรื่องการไปติดตามทวงหนี้ ไปจับลูกหนี้
ถ้าคดีไหนไม่มีความคืบหน้าเขาก็ด่าเรา ทำไมคดีนี้ไม่มีความคืบหน้า
ทำไมยังไม่ได้เงิน ไปถึงไหนแล้ว
เราก็คิดว่าไม่ไหวแล้ว เอาอย่างนี้แล้วกัน ชั้นลองไปทำเองดีกว่า
คือไม่อยากให้ลูกค้าด่า ก็เลยไปทวงหนี้เองด้วย ไปสืบจับเองด้วยเพื่อที่จะได้เอารายงานมาส่งให้ลูกค้าก่อน
ทำไปทำมาก็ปรากฏว่า ทำสืบจับเราก็สามารถไปจับเป้าลูกหนี้ได้
จับตามหมายจับเราก็ชี้จับได้เลย
ทวงหนี้ลูกค้าเขาก็จ่าย
โดยที่ตัวเองไม่มีประสบการณ์ "
สายลับที่ดีต้องมีไหวพริบ
"ลูกค้ารายแรกของพี่เขามาจ้างที่สำนักงานว่าความให้เพราะสงสัยว่าภรรยาจะมีชู้
แต่ทางเจ้านายเราบอกว่าเค้าไม่มีหลักฐานว่าภรรยาของเขามีชู้ ฟ้องไม่ได้ เขาก็คุยกับเราบอกว่าช่วยพี่หน่อยสิ
เราก็ว่าจะช่วยได้ไง ไม่เคยสืบเลย ไม่เป็นเลย กล้องก็ไม่มีนะ
ก็เลยปรึกษาทางกรรมการว่า ลูกค้าให้ทำอย่างนี้ จะทำอย่างไรดี เขาก็ถามว่าจะทำไหมล่ะ ทำได้ไหมล่ะ
เราก็บอกว่าไม่รู้ ไม่เคยทำ
แล้วถ้าทำจะคิดค่าใช้อย่างไร
เพราะเราก็ต้องไปซื้อกล้อง
แล้วกล้องเมื่อ 12
ปีที่แล้วก็ตัวละสี่ห้าหมื่นนะ
ตอนนั้นกล้องถ่ายวิดีโอยังเป็นตัวใหญ่ๆ ขนาดหนักๆอยู่เลยค่ะ
พี่สืบมาหลายร้อยคดี
เพราะเดือนหนึ่งก็มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการ
2-3 ราย อย่างสั้นสุดก็ใช้เวลา 3
ชั่วโมงเอง แต่สืบยาวๆก็เป็นเวลาข้ามปี เพราะไม่ได้ทำต่อเนื่องทุกวัน
ก็จะเป็นสืบสักอาทิตย์สองอาทิตย์แล้วเว้นระยะอีกเดือนหนึ่งแล้วค่อยมาสืบต่อ
คนที่จะเป็นนักสืบได้ต้องมีปฏิภาณไหวพริบ
ต้องมีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี มีความอดทนสูง เพราะเราไม่ได้ทำงานเป็นเวลา
อยู่ดึกดื่นค่ำคืนคุณก็ต้องทำได้ บางครั้งคุณไปทำงาน
คุณไม่ได้กลับบ้านสามวันคุณก็ต้องทำ
จะบอกว่าคิดถึงบ้านจะกลับบ้านไปอาบน้ำไม่ได้นะ ไม่เสร็จคุณกลับไม่ได้ ไม่เป็นโรคประจำตัว เดี๋ยวเป็นโน่นเป็นนี่ต้องหาหมอไม่ได้ อุปกรณ์ต้องมีกล้องถ่ายวีดิโอ เครื่องอัดเสียง กล้องถ่ายรูป
มันจะได้ทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว แล้วต้องรักษาความลับของลูกค้า ให้ได้
คือห้ามเอาเรื่องของคนโน้นไปพูดเอาเรื่องของคนนี้ไปพูด
เราทำงานเป็นทีม สมมุติว่าไปสืบเป้าหมายในร้านอาหาร พี่ต้องมีอีกคนคนไปด้วย
ทำตัวเหมือนเป็นลูกค้าที่อยู่ในร้าน
แล้วเราก็เปิดที่อัดเสียงแล้วก็ใส่กระเป๋าวางไว้ที่โต๊ะข้างๆ
เพราะที่อัดเสียงสมัยนี้อัดยาวๆ 16-17 ชั่วโมงทิ้งไว้ได้เลย
แต่หลักฐานหลักๆจะเป็นวีดิโอ เพราะเสียงนี่จะเป็นหลักฐานทางชั้นศาลไม่ได้ เพราะศาลเขาไม่รับฟังเทปอัดเสียง เสียงคนเราสามารถเลียนเสียงได้
นำไปตัดแต่งได้ ศาลจะรับฟังแค่ระดับหนึ่ง
แต่จะเป็นการขยายผลเพื่อจะสืบต่อว่าคุยอะไรกัน
เราต้องเจาะประเด็นนั้นมาเพื่อหาประเด็นสืบต่อ
อย่างเรื่องชู้สาวก็ต้องดูพฤติกรรมว่า มันเหมาะสมหรือเปล่า
เราสามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาลได้ไหม เราต้องถ่ายให้เห็นหน้าชัดทั้งสองคน
เห็นแค่ข้างๆแล้วบอกว่าเป็นเขาก็ไม่ได้
แล้วต้องถ่ายให้เห็นว่ากิริยาที่เขาอยู่ด้วยกัน
มีความสัมพันธ์กันฉันชู้สาวหรือไม่หรือแค่เพื่อนกัน เพื่อเวลาต่อสู้ชั้นศาลเขาจะได้ดิ้นไม่หลุด"
สายลับไทยโกอินเตอร์
"พี่ได้ฝึกวิชาเพิ่มเติมกับอาจารย์ที่เป็นนาวิกโยธินเก่าจากประเทศอังกฤษ เขามาติดต่อพี่เอง
ทางเขาสนใจจะใช้บริการนักสืบเมืองไทย
ก็เลยหาทางอินเตอร์เน็ต คือเขามีลูกค้าที่เมืองไทย
แต่ไม่ต้องการเดินทางมาที่เมืองไทยเอง
ก็เลยอยากมีบริษัทนักสืบอยู่ที่ต่างประเทศรวมทั้งในไทย
เวลาที่ชาวต่างชาติมีงานเราจะรับงานจากเขา
อย่างพี่มีลูกค้าที่ต้องการให้พี่ไปอังกฤษ ไปมาเลเซีย
แต่พี่มีพาร์ตเนอร์อยู่แล้วพี่ไม่ต้องไป พี่สามารถส่งต่อเคสไปให้เอเจนซี่ที่ต่างประเทศได้เลย
ตอนนั้นพี่เป็นนักสืบแล้ว
ย้อนหลังไปได้ประมาณ 5-6 ปีที่แล้ว
พอเขารู้ว่ามีนักสืบผู้หญิงเกิดขึ้นในเมืองไทย เริ่มมีคนรู้จัก ได้ไปออกรายการของคุณสรยุทธ์
สุทัศนะจินดา
แล้วก็ลงตามเว็บไซต์บ้าง
เขาก็ติดต่อมาที่บริษัท มาคุยว่าต้องการร่วมงานด้วย
เขาก็ให้คำมั่นสัญญาว่าจะส่งอาจารย์มาฝึกให้เราเป็นมืออาชีพยิ่งขึ้น ต่อไปเราเป็นจะพาร์ทเนอร์กัน
แล้วเขาก็หายไปเกือบปี แต่พอถึงวันที่สัญญาเขาก็มา เขาสอนทุกอย่างเลยนะ เช่นว่า เวลาเราวางแผนงานเราต้องวางแผนอย่างไร
จุดที่เรายืน เราเดิน เราขับรถต้องอยู่ตรงไหน แล้วก็มีการใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง
เวลาปลอมตัวเป็นอาชีพต่างๆ เราต้องวางให้เหมาะสมกับสถานการณ์
อย่างแม่ค้าสมตำก็เป็นมาแล้ว คนตกปลาก็เป็นมาแล้ว ไม่มีอุปกรณ์หรอกก็ไปยืมชาวบ้านแถวนั้นมา
ไปขายประกันบ้าง ไปประกวดแข่งโชว์อินเดียแดงบ้าง ได้รางวัลด้วยนะ เราก็ขึ้นไปรับรางวัลกับเขา คือสารพัด
ทุกอาชีพเราอยากเป็นอะไรต้องเป็นให้ได้ยกเว้นอาชีพนักสืบที่นักสืบไม่เป็นกัน
เขาสอนให้รู้เทคนิคในการติดตาม การดูพฤติกรรมต่างๆ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
อย่างสมมติว่าเราตามใครสักคนที่เป็นเป้าหมายอยู่เราต้องดูว่าเขาทำอะไรบ้าง
เขาเข้าแบงก์
เข้าไปทำอะไร
หยิบอะไรจากแบงก์บ้าง วางกระดาษ ทิ้งกระดาษอะไรบ้าง เพื่อจะได้สังเกตว่า
กระดาษที่เขาวางทิ้งไว้มีคนหยิบไปไหม เขาจะส่งซิกให้ใครไปรึเปล่า อย่างไปร้านอาหาร เขาลุกไปเราก็ต้องดูว่า
มีอะไรวางทิ้งไว้ที่โต๊ะไหม
มีใครมานั่งต่อหรือเปล่า
เป้าหมายจะไม่มีโอกาสรู้ว่ากำลังถูกตามอยู่ เพราะถ้าเราทำงานเราจะไม่ทำคนเดียว
เหมือนว่าเรามีทีมงาน อย่างพี่เข้าไปในร้านอาหารก็สั่งข้าวสั่งน้ำตามปกติ
พี่ไม่สนใจเป้าหมาย (เพราะแอบเอาเครื่องบันทึกเสียงใส่กระเป๋าวางไว้ใกล้เป้าหมายแล้ว)
คนอื่นอยู่ข้างนอกร้าน คุณจะถ่ายรูป
จะเก็บหลักฐานอื่นก็ทำไป
เขาออกไปพี่ก็ไม่ตามเพราะพี่เป็นลูกค้าคนหนึ่งที่อยู่ในร้าน
วิชาที่เขาสอนมากับในหนังเจสัน บอนด์ มันคล้ายกัน แต่ว่างานของพี่มันมากกว่า
วันหนึ่งๆเราทำงานไปด้วยก็ต้องสังเกตด้วยว่าคนทำงานอาชีพนั้น
อาชีพนี้ทำผมแต่งหน้าอย่างไร มีการพูดจา
มีบุคลิก อากัปกริยาอย่างไร อย่างเราไดร์ทกอล์ฟไม่เป็น แต่ต้องไปสืบในสนามไดร์กอล์ฟ
พี่ก็ต้องไปหาอุปกรณ์ไดร์มาฝึก
เคยปลอมตัวเป็นคุณตัวด้วย
พวกบรรดาสามีไฮโซทั้งหลายเขาไปเที่ยวไง แต่เขาก็ปฏิเสธว่า ไม่ได้ออฟ แค่นั่งดูเพื่อนเฉยๆ ฝ่ายภรรยาก็เลยอยากรู้ว่าใช่หรือไม่ใช่
เราก็เลยเป็นนางนกต่อเข้าไปลากว่าชั้นน่ะขายแบบนี้
สนใจไหม
เพื่อที่จะเอาข้อมูลไปบอกลูกค้าว่า
ว่าจริงๆแล้วเขาต้องการที่จะซื้อหรือไม่
แต่ถ้าเกิดว่าเขาสนใจจริงๆเราก็ต้องหาวิธีการชิ่ง
เราก็ต้องหาเหตุผลมาอ้างเพื่อให้เลี่ยงออกไปให้ได้"
เสี่ยงไม่ห่วง
ห่วงทึนทึก
"ที่บ้านรู้ว่าพี่เป็นนักสืบแต่ไม่รู้ว่าอันตรายขนาดไหน
เพราะเราอยู่คนละที่กัน
พี่อยู่ที่กรุงเทพฯ
แต่พ่อกับแม่อยู่ต่างจังหวัด มีคนเคยไปถามก่อนที่พ่อจะเสียว่า ห่วงลูกสาวไหม พ่อบอกว่า
ห่วงอยู่เรื่องเดียวคือเรื่องขับรถ พี่เป็นคนขับรถเร็วมาก ประมาณ 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
พี่ใช้รถอีกคันเป็นรถเชฟ โรเลต
วันนั้นพี่ต้องไปงานสืบแล้วต้องไปรับคุณพ่อต่อ
พี่ก็จะรีบด้วยความที่ว่าไปส่งคุณพ่อไม่ทัน ก็เลยเอาคุณพ่อนั่งรถไปด้วย
เขาก็นั่งเฉยๆ พี่ก็รู้ว่าเขาเครียด เขากลัว ที่นี้พอหลายครั้งเข้าเขาก็ไปพูดว่าห่วงเหมือนกัน
ห่วงเรื่องขับรถอย่างเดียวนี่แหล่ะ อย่างอื่นก็ไม่ห่วง
พี่ไม่มีครอบครัวค่ะ
จริงๆแล้วพี่ว่าแล้วคุณพ่อก็คงห่วงเรื่องนี้บ้างนะ
เพราะพี่น้องทุกคนแต่งงานกันหมดแล้ว
พอกลับบ้านทุกคนก็จะถามว่าเมื่อไหร่จะมีข่าวดี ก็เลยมาบอกเพื่อนที่กรุงเทพฯว่า
ช่วยไปเป็นแฟนฉันหน่อยสิเวลากลับไปบ้าน แล้วพาเพื่อนผู้ชายคนอื่นไปไม่ได้นะ
เพราะเวลาไปคราวหลังถ้าเปลี่ยนคนก็โดนแซวว่าเจ้าชู้นะ
เปลี่ยนคนอีกแล้ว
เราก็ต้องบอกว่าไม่ใช่นะ เพื่อนกัน
งานของเราเวลามันไม่แน่นอน
มันต้องคล่องตัว ถ้ามีครอบครัวก็ไม่มีเวลาอยู่ในบ้านอย่างที่คุณต้องการ
อยากไปกินข้าวด้วยกันมันเป็นไปไม่ได้ แล้วใครก็ทนพี่ไม่ได้หรอก
เพราะนัดพี่ไม่เคยตรงเวลาเลย ปกติเวลานัดเพื่อนนี่ เพื่อนจะถามว่าตกลงจะมาไม่มา
นัด 6 โมงเย็นมาเที่ยงคืน พี่ก็จะบอกว่า เดี๋ยวไป ๆ แต่เดี๋ยวไปของพี่เนี่ย คือพี่ทำงานคาดว่าจะเสร็จทุ่มหนึ่ง สองทุ่ม แต่งานไม่เสร็จเป้าหมายไม่เข้าบ้าน พี่ก็ต้องไปนั่งจนกว่าเขาจะเข้าบ้าน
มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรามันขึ้นอยู่กับเป้าหมาย"