ทรัพย์สินที่เจ้าหนี้ควรยึดตามคำพิพากษาในคดีแพ่ง
ปัจจุบันมีการสืบทรัพย์และยึดทรัพย์ลูกหนี้ตามคำพิพากษาเป็นจำนวนมาก
เนื่องจากเศรษฐกิจตกต่ำ
ทนายคลายทุกข์จึงขอให้คำแนะนำเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาควรปฏิบัติดังนี้
1.
ไม่ควรยึดทรัพย์ที่ติดจำนอง
เพราะเจ้าหนี้บุริมสิทธิ์
มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์ที่จำนองจนครบมูลหนี้
หลังจากนั้นเจ้าหนี้รายอื่นเป็นเจ้าหนี้ลำดับที่สอง
ที่จะได้รับชำระหนี้เป็นคนถัดมา
แต่ในทางปฏิบัติมักไม่มีทรัพย์สินเหลือจากการขายทอดตลาดเพียงพอสำหรับเจ้าหนี้รายต่อมา
และยิ่งกว่านั้น ถ้ายึดทรัพย์จำนองแล้วขายทอดตลาดไม่ได้
เสียสิทธิในการบังคับคดีต่อ เนื่องจากว่ายังไม่สามารถทราบได้ว่า
จะขายทรัพย์จำนองได้ตามมูลหนี้คำพิพากษาหรือไม่
และถ้าจะยึดทรัพย์สินอื่นจะต้องถอนการยึดทรัพย์เดิมและต้องเสียค่าธรรมเนียมในการไถ่ถอนการยึดทรัพย์
2.
ทรัพย์ที่ควรจะยึด คือ เงินสดในบัญชีของลูกหนี้
ซึ่งเจ้าหนี้ต้องหาทางสืบให้ได้ว่า ลูกหนี้มีเงินฝากไว้ที่ธนาคารใด
หรือเงินจะเข้าบัญชีของลูกหนี้เมื่อใด และให้รีบดำเนินการอายัด
เพราะเงินของลูกหนี้มักจะอยู่ในบัญชีไม่เกิน 7 วัน
ถ้าล่าช้าถึงแม้จะรู้หมายเลขบัญชี ก็ไม่มีเงินเหลือในบัญชีเพียงพอที่จะอายัดได้
3.
การยึดทรัพย์สินภายในบ้านส่วนใหญ่มักจะไม่คุ้มหนี้
เสียเวลา ต้องเก็บรักษาทรัพย์ไว้ที่กรมบังคับคดีเป็นทรัพย์ที่ไม่น่าสนใจ
แต่อาจจะมีผลทางด้านจิตวิทยา ทำให้ลูกหนี้เกิดความอับอายเพื่อนบ้าน
และยอมจ่ายเช็คชำระหนี้ก็อาจเป็นเครื่องมืออันหนึ่งของลูกหนี้ในการดำเนินการ
4.
การหาข้อมูลของลูกหนี้ควรใช้บริการนักสืบ
จะมีความเชี่ยวชาญในการสะกดรอย
รู้ถึงกิจกรรมเครือข่ายทรัพย์สินของลูกหนี้เมื่อมีข้อมูลจะนำมาขยายผล
เพื่อหาทรัพย์สินของลูกหนี้และบังคับคดีตามกฎหมายได้ต่อไป
การหาข้อมูลของลูกหนี้สามารถหาได้หลายวิธี
ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าหนี้หรือผู้ที่มีหน้าที่ในการสืบทรัพย์บังคับคดี
แต่เจ้าหนี้ต้องยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ให้แล้วเสร็จภายใน 10 ปี
นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด เจ้าหนี้ต้องจำไว้ถ้าเลยกำหนดเวลา
จะเสียสิทธิในการบังคับคดี