ความผิดฐานฉ้อโกง
ทนายคลายทุกข์ขอนำข้อมูลเกี่ยวกับความผิดฐานฉ้อโกง/
คดีฉ้อโกง/ ฉ้อโกงด้วยการปกปิดข้อความอันเป็นเท็จ/ ฉ้อโกงประชาชน/รูปแบบคดีฉ้อโกง มานำเสนอใน Web page หน้านี้ โดยจะนำเสนอเป็นตอนๆ เป็นประจำทุกสัปดาห์
เริ่มสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์แรก
โดยจะเริ่มนำเสนอเป็นตอนที่ 1
ท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม Web page นี้
ขอเรียนเชิญให้ท่านกลับเข้ามาเยี่ยมชมใหม่ในสัปดาห์หน้านะครับ
ทีมงานทนายความจะนำความผิดฐานฉ้อโกง/
คดีฉ้อโกง/ ฉ้อโกงด้วยการปกปิดข้อความอันเป็นเท็จ/
ฉ้อโกงประชาชน/รูปแบบคดีฉ้อโกง ให้ท่านแสดงความคิดเห็นได้ในหน้านี้ ในช่องแสดงความคิดเห็นหรือโทรปรึกษาคดีฉ้อโกง 081-912-5833,081-616-1425
ความผิดฐานฉ้อโกง ตอนที่ 1
มาตรา 341 ผู้ใดโดยทุจริต
หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ
หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม
หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี
หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา342 ถ้าในการกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ผู้กระทำ
(1) แสดงตนเป็นคนอื่น หรือ
(2)
อาศัยความเบาปัญญาของผู้ถูกหลอกลวงซึ่งเป็นเด็ก
หรืออาศัยความอ่อนแอแห่งจิตของผู้ถูกหลอกลวง
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี
หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 343 ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 341 ได้กระทำด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน
หรือด้วยการปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวในวรรคแรก
ต้องด้วยลักษณะดังกล่าวในมาตรา 342 อนุมาตราหนึ่งอนุมาตราใดด้วย
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี
และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท
มาตรา 344 ผู้ใดโดยทุจริต
หลอกลวงบุคคลตั้งแต่สิบคนขึ้นไปให้ประกอบการงานอย่างใดๆ
ให้แก่ตนหรือให้แก่บุคคลที่สาม โดยจะไม่ใช้ค่าแรงงานหรือค่าจ้างแก่บุคคลเหล่านั้น
หรือโดยจะใช้ค่าแรงงานหรือค่าจ้างแก่บุคคลเหล่านั้นต่ำกว่าที่ตกลงกัน
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 345
ผู้ใดสั่งซื้อและบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่ม หรือเข้าอยู่ในโรงแรม โดยรู้ว่าตนไม่สามารถชำระเงินค่าอาหาร
ค่าเครื่องดื่ม หรือค่าอยู่ในโรงแรมนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน
หรือปรับไม่เกินห้าร้อยบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 346
ผู้ใดเพื่อเอาทรัพย์สินของผู้อื่นเป็นของตนหรือของบุคคลที่สาม
ชักจูงผู้หนึ่งผู้ใดให้จำหน่ายโดยเสียเปรียบซึ่งทรัพย์สิน
โดยอาศัยเหตุที่ผู้ถูกชักจูงมีจิตอ่อนแอ หรือเป็นเด็กเบาปัญญา
และไม่สามารถเข้าใจตามควรซึ่งสารสำคัญแห่งการกระทำของตน
จนผู้ถูกชักจูงจำหน่ายซึ่งทรัพย์สินนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี
หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 347 ผู้ใดเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์จากการประกันวินาศภัย
แกล้งทำให้เกิดเสียหายแก่ทรัพย์สินอันเป็นวัตถุที่เอาประกันภัย
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 348 ความผิดในหมวดนี้ นอกจากความผิดตามมาตรา 343
เป็นความผิดอันยอมความได้
ตัวอย่างคดีฉ้อโกง
ฟ้องแล้วเปมิกา
แฉละเอียดยิบขั้นตอนลวง หมอเผ่า ติดกับ
เปมิกา แม้จะเปลี่ยนชื่อแก้เคล็ดก็ไม่อาจช่วยได้
อัยการฟ้องแล้วพร้อมเพื่อนร่วมก๊วน 3 คน หลอกลวง
หมอเผ่า เจ้าของสถาบันกวดวิชาดังหลายรูปแบบทั้งระลึกชาติ เคยเป็นเมีย เป็นขุนศึกสมัยกรุงศรีอยุธยา
ถูกเมียหลวงตามฆ่าทุกชาติ ให้เช่าพระแก้คุณ
วันนี้
(20 ธ.ค.) ที่สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 8 รัชดาภิเษก
น.ส.
เมื่อระหว่างเดือน
ต.ค.49 ถึง เดือน พ.ย.50
เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน นายแพทย์
จากนั้นพวกจำเลยได้ร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ผู้เสียหายที่
1
หลายครั้งหลายหน โดยร่วมกันสร้างสถานการณ์และหลอกลวงจนเข้าใจว่าจำเลยที่ 1 เคยเป็นภรรยาผู้เสียหายที่ 1 เมื่อ 99 ภพ ชาติที่ผ่านมา มีหนี้กรรมต้องชดใช้กันในชาตินี้ โดยผู้เสียหายที่ 1 เป็นขุนศึกเคยมีม้าชื่อนิลพยัคฆ์ และ นิลมังกร ในชาตินี้
จึงขอให้ผู้เสียหายที่ 1 ซื้อรถเก๋งยี่ห้อโตโยต้า คัมรี่ สีดำ มูลค่า 1,569,000 บาท รวมทั้งเงินสด 980,000 บาท
เพื่อซื้อแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ สห-9999 ให้แก่จำเลยที่ 1
นอกจากนี้
พวกจำเลยยังได้หลอกลวงผู้เสียหายที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1
ได้ถูกนาง
ต่อมาจำเลยทั้งสี่ได้หลอกผู้เสียหายที่
1
ว่า จำเลยที่ 1 ระลึกชาติเห็น ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นขุนศึกสมัยกรุงศรีอยุธยา กวาดต้อนจำเลยที่ 1 อยู่ด้วยเป็นเหตุให้กำไลข้อมือสูญหายไป จึงขอให้ผู้เสียหายที่ 1 ซื้อนาฬิกายี่ห้อโรเล็กซ์ 1 เรือน มูลค่า 245,000 บาท มาคืนให้แทนกำไล
อีกทั้งจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหลอกผู้เสียหายที่
1
ว่า จำเลยที่ 1 ระลึกชาติได้เห็น ผู้เสียหายที่ 1 เคยมอบแหวนไว้ให้จำเลยที่ 1 มาก่อน
จึงขอให้ผู้เสียหายที่ 1 ซื้อแหวนเพชรมูลค่า 145,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 1
อีกและพวกจำเลยได้หลอกลวงผู้เสียหายที่ 1 ว่านาง
อัยการโจทก์ยังระบุฟ้องด้วยว่า
จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายที่ 1 ทำนองว่า นาง
โดยพวกจำเลยได้หลอกผู้เสียหายที่1 ว่า นาง
ท้ายคำฟ้องอัยการยังระบุถึงพฤติการณ์ด้วยว่า
จำเลยทั้งสี่ยังร่วมกันหลอกผู้เสียหายที่ 1 โดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งกำลังศึกษาในมหาวิทยาลัย ต้องการย้ายคณะ เพราะถูกบุคคลระดับสูง
ข่มเหงลวนลาม จำเป็นต้องใช้เงินจำนวน 500,000 บาท
ในการวิ่งเต้นโยกย้ายคณะ ผู้เสียหายที่ 1
หลงเชื่อจึงมอบเงินให้แก่พวกจำเลยไป และจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหลอกผู้เสียหายที่ 1 ทำนองว่า เป็นขุนศึกคุมทหารยกทัพมาเผ่าบ้านของจำเลยที่ 1 แล้วปล้นเอาเงินของจำเลยที่ 1 และครอบครัว
เทียบกับค่าเงินในปัจจุบันจำนวนกว่า 5 ล้านบาท ผู้เสียหายที่
1 หลงเชื่อจึงนำเงินของของตน และเงินของนางอลิสา และ รศ.
เหตุเกิดที่แขวงและเขตปทุมวัน
แขวงและเขตพญาไท กทม.และที่อื่นเกี่ยวพันกัน ต่อมาวันที่ 16 ต.ค. 50 พนักงานสอบสวนกองปราบแจ้งข้อกล่าวหาแล้วจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
ศาลประทับรับฟ้องไว้เป็นคดีดำที่
อ.4543/50 และสอบคำให้การ ซึ่งจำเลยทั้งหมดแถลงให้การปฏิเสธ
ศาลจึงนัดแถลงเปิดคดีวันที่ 25 ก.พ.ศกหน้า เวลา 09.00 น.
ทั้งนี้
น.ส.เปมิกาได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนระหว่างเดินทางมาศาลอาญาว่า
รู้สึกสบายใจมากขึ้นกับเรื่องนี้ และยังคงให้การปฏิเสธกับข้อหาที่เกิดขึ้น
และครั้งนี้ก็ถือว่าจะได้เป็นโอกาสที่ตนได้พิสูจน์ตนเองเพราะเรื่องทุกอย่างจะชัดเจนมากขึ้น
อย่างเช่นทุกครั้งที่มีการไกล่เกลี่ยกันตนก็ได้ให้ความร่วมมือกับศาลมาโดยตลอด
แต่ก็ไม่สามารถไกล่เกลี่ยกันได้ หลังจากนี้ก็จะขอยื่นประกันตัวเพื่อสู้คดีต่อไป
และอยากให้บทสรุปเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์โดยเฉพาะกับผู้หญิงด้วยกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า
ในวันนี้เกิดเหตุขลุกขลักนิดหน่อยในการยื่นคดีฟ้องต่อศาลเนื่องจาก
พนักงานอัยการต้องแก้ไขคำฟ้องในส่วนของ น.ส.เปมิกา
ที่เปลี่ยนชื่อและนามสกุลเป็น สิริรัษสิริ
เหลืองเรณูกุล
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก http://www.manager.co.th/