การตกลงค่าเสียหายในคดีอุบัติเหตุ
วันนี้มีข่าวทั้งทางวิทยุและโทรทัศน์ได้นำเรื่องราวการเกิดอุบัติเหตุเมื่อหลายปีที่ผ่านมา
กรณีอาสาสมัครปอเต็กตึ้งจำนวนหลายคนกำลังช่วยเหลือผู้บาดเจ็บทีเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์
และกำลังนำรถจักรยานยนต์ขึ้นท้ายรถปิกอัพเพื่อนำไปสน. ขณะนั้น
ได้มีคนขับรถโฟวิลไดร์เมาขับมาชนท้ายเป็นเหตุให้สองสามีภรรยาอาสาสมัครได้รับบาดเจ็บสาหัสจนถึงวันนี้เวลาผ่านมาเป็นเวลานานแล้วยังรักษาไม่หาย
แต่มีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับคดีดังกล่าว
เกี่ยวกับข้อกฎหมายที่ผู้เสียหายพลาดท่า เสียทีให้กับคู่กรณีจนเสียสิทธิในการดำเนินคดี
ทนายคลายทุกข์ขอนำประเด็นข้อกฎหมายในคดีนี้ดังกล่าวมานำเสนอต่อเพื่อนสมาชิกดังนี้
1.
คดีนี้
มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันที่สถานีตำรวจ เพื่อระงับข้อพิพาท
โดยตกลงค่าสินไหมทดแทนกัน เป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 350,000 บาท
2.
ในสัญญายอมมีการระบุเกี่ยวกับการสละสิทธิเรียกร้องทั้งทางแพ่งและทางอาญาไว้ในสัญญาดังกล่าว
3.
พนักงานสอบสวนไม่ได้ดำเนินคดีอาญาต่อไปทั้งที่เป็นความผิดอาญาต่อแผ่นดิน
ไม่สามารถยอมความได้
4.
ปัจจุบันผู้เสียหายต้องผ่าตัดถึง
7 ครั้ง และไม่มีเงินในการรักษา รวมทั้งผู้กระทำละเมิดไม่ยอมรับผิดชอบ
ทนายคลายทุกข์ขอให้ความเห็นทางกฎหมายกับกรณีดังกล่าวข้างต้นเป็นข้อ
ๆ ดังนี้ เพื่อเป็นประโยชน์กับผู้เสียหายที่ได้รับอุบัติเหตุทางรถ
1.
ก่อนที่จะทำบันทึกข้อตกลงในข้อพิพาทเกี่ยวกับค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับอุบัติเหตุจะต้องปรึกษากับแพทย์ก่อนว่า
ความเสียหายในปัจจุบันและความเสียหายในอนาคตมีมากน้อยเพียงใด
ค่าใช้จ่ายทั้งในปัจจุบันและอนาคต ในกรณีเลวร้ายที่สุดมีเพียงใด
รวมทั้งการเสียความสามารถประกอบการงานสิ้นเชิงมีมากน้อยเพียงใด
2.
เมื่อได้ข้อยุติแล้วจึงนำมาเจรจาตกลงกับคู่กรณี
โดยจะต้องแยกค่าสินไหมทดแทนออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรกคือค่าเสียหายที่เห็นเป็นที่ประจักษ์ในปัจจุบัน
ส่วนหนึ่งเป็นค่าเสียหายที่เกิดขึ้นในอนาคต
3.
การทำบันทึกข้อตกลงจะต้องปรึกษาทนายความหรือผู้รู้
ถ้าเผื่อในอนาคตคู่กรณีผิดเงื่อนไขจะได้ไม่เสียสิทธิในการดำเนินคดีทางแพ่ง
4.
ส่วนคดีอาญา
พนักงานสอบสวนมีหน้าที่ดำเนินคดีต่อ
เนื่องจากเป็นความผิดอาญาแผ่นดินตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300, 390
ซึ่งมีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 3 ปี การที่พนักงานสอบสวนไม่ดำเนินคดี
ถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตาม ป.อ.มาตรา 157
5.
ป.พ.พ.
มาตรา 444 ในกรณีที่ผู้เสียหายฟ้องคดีละเมิด ถ้าในเวลาที่พิพากษาคดี
เป็นพ้นวิสัยจะหยั่งรู้ได้แน่ว่าความเสียหายนั้นได้มีแท้จริงเพียงใด
ศาลจะกล่าวในคำพิพากษาว่ายังสงวนไว้ซึ่งสิทธิที่จะแก้ไขคำพิพากษานั้นอีกภายในระยะเวลไม่เกินสองปีก็ได้
ดังนั้นคดีนี้ผู้เสียหายจึงเสียสิทธิในการดำเนินคดีทางแพ่ง
เนื่องจากมีข้อความสละสิทธิในการดำเนินคดีอย่างชัดเจน ตาม ป.พ.พ.มาตรา 852
แต่ผู้เสียหายควรใช้พนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีอาญาต่อไป
?คดีนี้เป็นอุทาหรณ์อย่าเห็นเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ
โดยไม่คำนึงถึงค่ารักษาพยาบาลในอนาคต?