ลูกจ้างเก็บขยะของนายจ้างไปขายและไม่นำเงินที่ได้ส่งเป็นรายได้ของนายจ้าง เลิกจ้างได้ ไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2426/2557
จำเลยให้การแก้ข้อกล่าวหาของโจทก์พร้อมฟ้องแย้ง โดยในส่วนฟ้องแย้งจำเลยบรรยายสภาพข้อกล่าวหาว่าโจทก์ใช้ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยคัดแยกขยะของจำเลยไปขายแล้วนำเงินที่ได้ไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต เป็นการกระทำให้จำเลยได้รับความเสียหายต้องขาดรายได้เป็นเงิน 615,000 บาท ขอให้ยกฟ้องโจทก์ และในส่วนฟ้องแย้งจำเลยมีคำขอบังคับให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหาย 615,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี อันเป็นการฟ้องที่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาของจำเลย และคำขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 แล้ว โดยคำขอบังคับของฟ้องแย้งไม่จำต้องระบุคำว่า "คำขอท้ายคำฟ้องคดีแรงงาน" ก็เป็นการฟ้องแย้งที่ชอบด้วยกฎหมาย
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมกับการจ่ายค่าชดเชยเป็นคนละกรณีและบทบัญญัติของกฎหมายบัญญัติต่างหากจากกัน โดยลูกจ้างจะได้ค่าชดเชยหรือไม่ พิจารณาตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 118 และมาตรา 119 ส่วนการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมพิจารณาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 การที่จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ จึงมิใช่ข้อเท็จจริงที่จะรับฟังเป็นยุติว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิด เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยให้การถึงสาเหตุหนึ่งที่เลิกจ้างโจทก์จากโจทก์ใช้คนงานเก็บขยะและวัสดุเหลือใช้ของจำเลยไปขายให้บุคคลภายนอกแล้วไม่นำเงินที่ได้ส่งเป็นรายได้ของจำเลย อันเป็นการทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จึงขอให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายในส่วนนี้ ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเกี่ยวกับฟ้องเดิม ทั้งมีคำขอให้บังคับตามฟ้องแย้ง ฟ้องแย้งของจำเลยจึงชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31