อัยการถอนฟ้องธัมมชโยแล้วฟ้องใหม่ได้หรือไม่
มีท่านผู้อ่านคอลัมน์ทนายคลายทุกข์หลายคนสอบถามมายังผม เกี่ยวกับคดีที่อัยการฟ้องพระธัมมชโย เมื่อปี พ.ศ.2542 ว่า ฟ้องร้องกันเรื่องอะไรและเหตุผลในการถอนฟ้องใช้เหตุผลอะไร ผมเองก็เป็นทนายความท่านหนึ่งที่ได้มีการฟ้องร้องพระธัมมชโยที่ศาลจังหวัดธัญบุรี คดีหมายเลขดำที่ พ.227/2557 ในคดีแพ่ง เรียกเงินบริจาคคืนจำนวน 800 ล้านบาทเศษ ได้ศึกษาสำนวนเก่าๆ พบว่า เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2542 พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด โดยสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 5 ได้เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องพระราชภาวนาวิสุทธิ์หรือพระไชยบูรณ์ ธัมมชโยหรือสุทธิผล กับพวกรวม 2 คน เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานและสนับสนุนเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต, เป็นเจ้าพนักงานและสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตและโดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
ต่อมาในวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2549 พนักงานอัยการโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องคดีดังกล่าว โดยให้เหตุผลในการถอนฟ้อง รวม 2 ข้อ ดังนี้
“ ข้อ 1 ตามที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2542 โดยกล่าวหาว่า จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้ร่วมกันกระทำความผิด และต่อมาศาลได้มีคำสั่งให้รวมการพิจารณาคดีนี้เข้ากับคดีหมายเลขดำที่ 11651/2542 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลโดยนัดสืบพยานจำเลยครั้งต่อไปในวันที่ 22,23,24 สิงหาคม พ.ศ. 2549 นั้น
ข้อ 2 โจทก์ขอเรียนว่า การดำเนินคดีนี้ สืบเนื่องจากพระราชภาวนาวิสุทธิ์ จำเลยที่ 1 กับพวก ไม่ปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่มีว่า
“ ความบิดเบือนพระพุทธธรรมคำสั่งสอน โดยกล่าวหาว่าพระไตรปิฎกบกพร่อง เป็นการทำให้สงฆ์ที่หลงเชื่อคำบิดเบือน แตกแยกออกไป กลายเป็นสอง มีความเข้าใจ ความเชื่อถือพระพุทธศาสนา ตรงกันข้าม เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ทำสงฆ์ให้แตกแยก......เป็นอนันตริยกรรมมีโทษทั้งปัจจุบันและอนาคตที่หนัก
ส่วนที่มิใช่เป็นการลงโทษแต่เป็นการทำที่ถูกต้อง คือต้องส่งมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันที(5 เมษายน พ.ศ.2542)
ไม่คิดให้มีโทษ เพราะคิดในแง่ยกประโยชน์ให้ว่าในชั้นต้นหากมิใช่มีเจตนาถือเอาสมบัติของวัดเป็นของตนจริงๆ แต่เมื่อถึงอย่างไรก็ไม่ยอมมอบคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะที่เป็นพระให้แก่วัด ก็แสดงชัดแจ้งว่าต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระ ปลอมเป็นพระ ด้วยการนำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสีย ให้เกิดแก่สงฆ์ในพระพุทธศาสนา”
บัดนี้ ข้อเท็จจริงในด้านการเผยแพร่คำสั่งสอนปรากฏจากอธิบดีกรมศาสนา ผู้อำนวยการสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ เลขาธิการมหาเถรสมาคม และเจ้าคณะภาค 1 ว่าในปัจจุบัน พระราชภาวนาวิสุทธิ์ จำเลยที่ 1 กับพวก ได้เผยแผ่พระพุทธศาสนา ตรงตามพระไตรปิฎก และนโยบายของคณะสงฆ์ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้เป็นที่ยอมรับทั่วไปทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งได้ให้ความร่วมมือช่วยเหลือกิจการของศาสนาทั้งของคณะสงฆ์ ภาครัฐและภาคเอกชนจำนวนมาก สำหรับในด้านทรัพย์สินนั้น ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 กับพวก ได้มอบทรัพย์สินทั้งหมด ซึ่งมีทั้งที่ดินและเงินอีกจำนวน 959,300,000 บาท (เก้าร้อยห้าสิบเก้าล้านสามแสนบาท) คืนให้แก่วัดพระธรรมกาย การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 1 กับพวก ประกอบกับขณะนี้บ้านเมืองต้องร่วมกันสร้างความสามัคคีของคนในชาติในทุกหมู่เหล่า เห็นว่า หากดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสองต่อไป อาจก่อให้เกิดความแตกแยกในศาสนจักรโดยเฉพาะในเหล่าพระภิกษุสามเณรและประชาชนทั้งในและต่างประเทศที่นับถือศาสนาพุทธและไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ
อัยการสูงสุด จึงมีคำสั่งให้ถอนฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้
ดังนั้น โจทก์จึงขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้ทุกข้อกล่าวหา ขอศาลได้โปรดอนุญาต
และศาลได้อนุญาตให้ถอนฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 และให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ.2549
มีคำถามถามมาว่า คดีที่พนักงานอัยการถอนฟ้องไปจากศาลแล้ว จะนำมาฟ้องใหม่ได้หรือไม่ ผมขอเรียนว่า ก่อนหน้านี้ศาลฎีกาเคยวางบรรทัดฐานไว้แล้ว ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 6446/2547 และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9334/2538 ว่าการฟ้องร้องดำเนินคดีในลักษณะสมยอมกัน สิทธินำคดีอาญามาฟ้องหาได้ระงับไปไม่ หมายถึง สามารถนำกลับมาฟ้องใหม่ได้ ความเห็นส่วนตัว คดีที่พนักงานอัยการถอนฟ้องพระธัมมชโย พนักงานอัยการน่าจะนำมาฟ้องเป็นคดีอาญาใหม่ได้ เทียบเคียงกับบรรทัดฐานของคำพิพากษาของศาลฎีกาทั้ง 2 ฎีกาข้างต้น เนื่องจากการถอนฟ้องของพนักงานอัยการเมื่อปี พ.ศ.2549 น่าจะเป็นการฟ้องร้องดำเนินคดีอย่างสมยอมกัน ไม่ใช่เป็นการฟ้องร้องดำเนินคดีอย่างแท้จริง เพราะโจทก์สืบพยานโจทก์จนเสร็จสิ้นแล้ว เหลือแต่เพียงสืบพยานจำเลยเท่านั้น และพยานหลักฐานพยานบุคคล พยานเอกสาร ที่นำสืบไปแล้ว พอฟังได้ว่าพระธัมมชโยกระทำความผิดตามฟ้องโจทก์จริง โดยปราศจากข้อสงสัย การที่พนักงานอัยการโจทก์ในคดีดังกล่าวถอนฟ้อง โดยความเห็นผม น่าจะมีลักษณะเป็นการสมยอม อย่างไรก็ตามการถอนฟ้องและนำกลับมาฟ้องเป็นคดีอาญาใหม่ ยังไม่เคยมีบรรทัดฐานนะครับ เป็นแค่ความเห็นส่วนตัวของผมเท่านั้น