จับผู้ต้องหาและพาทัวร์ให้ระวัง|จับผู้ต้องหาและพาทัวร์ให้ระวัง

จับผู้ต้องหาและพาทัวร์ให้ระวัง

  • ทนายคลายทุกข์ ปรึกษากฎหมาย โทร 02-9485700
  • Email: [email protected]
Header Background Image

งานเผยแพร่ความรู้ทางด้าน กฎหมาย การบริหารการจัดการหนี้สินในองค์กรภาครัฐและภาคเอกชน การฝึกอบรมสัมมนาพัฒนาบุคลากร ในการประกอบธุรกิจ หากหน่วยงานของรัฐ บริษัทห้างร้าน มีความสนใจ เชิญทีมงานไปฝึกอบรมสัมมนาหรือต้องการข้อมูลข่าวสาร ติดต่อได้ที่ 02-948-5700 อ่านต่อ

ท่านใดที่สนใจเกี่ยวกับหลักสูตรฝึกอบรมการติดตามหนี้ ทวงหนี้อย่างไรให้ได้ผล ได้เงิน รักษาภาพลักษณ์ รักษาลูกค้า/หลักสูตรการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตภายในองค์กร/หลักสูตรกฎหมายแรงงาน สำหรับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลหรือผู้บริหารบริษัท สนใจโทร.02-9485700 อ่านต่อ

สืบทุกเรื่องที่คุณอยากรู้ มีเรื่องคาใจอยากรู้ความจริง โทรมาคุยกับกุ้งได้ที่ 081-625-2161หรือ 089-669-5026 "อย่าปล่อยให้มีเรื่องคาใจ อะไรที่ไม่สบายใจ ต้องหาทางปลดปล่อย สืบให้รู้ความจริง จะได้จบสิ้นกันเสียที สำหรับความทุกข์ที่คาใจมาเป็นเวลานาน อย่าปล่อยให้คนนอกใจลอยนวล" อ่านต่อ

รับแปลเอกสารต่างๆ อ่านต่อ

จับผู้ต้องหาและพาทัวร์ให้ระวัง

ตำรวจจับผู้ต้องหาในคดีอาญาแล้วพาทัวร์ ไม่ส่งโรงพัก

บทความวันที่ 22 ม.ค. 2558, 00:00

มีผู้อ่านทั้งหมด 1313 ครั้ง


จับผู้ต้องหาและพาทัวร์ให้ระวัง


          ตำรวจจับผู้ต้องหาในคดีอาญาแล้วพาทัวร์ ไม่ส่งโรงพัก ถือว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ พยานหลักฐานที่ได้มา รับฟังลงโทษจำเลยไม่ได้ ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาไว้แล้วดังนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4277/2555
          ป.วิ.อ. มาตรา 84 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้เจ้าพนักงานผู้ทำการจับต้องเอาตัวผู้ถูกจับไปยังที่ทำการของพนักงานสอบสวนโดยทันที การที่พยานโจทก์กับพวกไม่ได้นำ ฉ. และจำเลยพร้อมของกลางส่งมอบแก่พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรีซึ่งเป็นท้องที่เกิดเหตุในทันที แต่กลับนำ ฉ. และจำเลยไปตรวจปัสสาวะและสารเสพติด จากนั้นนำสถานที่ตำรวจทางหลวง 1 เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร และควบคุมตัวไว้ที่สถานีตำรวจทางหลวง 1 อีกหลายชั่วโมง จึงได้นำบุคคลทั้งสองไปส่งมอบแก่พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรี โดยไม่ปรากฎเหตุผลและความจำเป็นใดๆ ที่ต้องทำเช่นนั้น การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการขัดต่อ ป.วิ.อ.มาตรา 84 วรรคหนึ่ง
         โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.25522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 57, 66, 91, 100/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
        จำเลยให้การรับสารภาพข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีน ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
        ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 57, 91 จำคุก 1 ปี ปรับ 20,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ.มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน ปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ มีกำหนด 2 ปี กำหนดเงื่อนไขคุมความประพฤติ ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อเจ้าพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน ภายในกำหนด 1 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 56  ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม ป.อ.มาตรา 29,30 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก
        โจทก์อุทธรณ์
        ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความตามพ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522  มาตรา 15 วรรคหนึ่งและวรรคสาม(2), 66 วรรคสอง ประกอบป.อ.มาตรา 83,91 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 7 ปี และปรับ 400,000 บาท อีกกระทงหนึ่ง กรณีกักขังแทนค่าปรับให้กักขังได้เป็นระยะเวลาไม่เกินสองปี ยกคำขอริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
         จำเลยฎีกา
         ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “..พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ฎีกาโต้เถียงกันฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง พันตำรวจโทประเจตและดาบตำรวจบุญเชิดกับพวกร่วมกันจับกุมจำเลยและนาย ฉ.  จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 260/2549 ศาลจังหวัดชลบุรีแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีน 97 เม็ด โทรศัพท์เคลื่อนที่ 2 เครื่อง สร้อยคอทองคำและพระเลี่ยมทองคำ 1 องค์ และรถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียน คธบ ชล 850 เป็นของกลาง แจ้งข้อหาว่าร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตและเสพเมทแอมเฟตามีน ตามบัญชีของกลางคดีอาญาและบันทึกการจับกุม เอกสารหมาย จ.2 และ จ.4 ข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีนและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ คดีจึงถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์จะพันตำรวจโท ป.และดาบตำรวจ บ.เบิกความสอดคล้องต้องกันว่า ในขณะตรวจค้นนาย ฉ.และจำเลยในที่เกิดเหตุนั้นเจ้าพนักงานตำรวจตรวจพบเมทแอมเฟตามีน จำนวน 70 เม็ด บรรจุอยู่ในถุงขนมยี่ห้อเทสโต้ ซึ่งถืออยู่ในมือของนาย ฉ. และพบเมทแอมเฟตามีน จำนวน 27 เม็ด ห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์อยู่ในกระเป๋ากางเกงหน้าด้านขวาของจำเลยก็ตาม แต่พยานโจทก์ทั้งสองดังกล่าวก็เบิกความตอบทนายความจำเลยถามค้าน ยอมรับว่าไม่ได้เป็นผู้ตรวจค้นนาย ฉ. และจำเลยด้วยตนเอง ซึ่งโจทก์ก็มิได้นำสืบให้เห็นว่าเหตุใดจึงไม่นำเจ้าพนักงานตำรวจผู้ตรวจค้นนาย ฉ.และจำเลยมาเบิกความยืนยันในเรื่องนี้ อีกทั้งเจ้าพนักงานตำรวจก็ไม่ได้ยึดถุงขนมยี่ห้อเทสโต้และกระดาษหนังสือพิมพ์ที่บรรจุเมทแอมเฟตามีนเป็นของกลาง แต่กลับนำเมทแอมเฟตามีนที่ยึดได้จากนาย ฉ.และจำเลยมารวมกัน และส่งมอบแก่เจ้าพนักงานสอบสวน นอกจากนี้ก่อนจับกุมนาย ฉ.และจำเลยก็ไม่ปรากฎข้อเท็จจริงจากการนำสืบของโจทก์ว่าจำเลยรู้เห็นเกี่ยวข้องกับการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องหรือไม่อย่างไร คงได้ความเพียงว่าสายลับติดต่อล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องทางโทรศัพท์เคลื่อนที่จากนาย ฉ. เพียงคนเดียว อีกทั้งเมทแอมเฟตามีนของกลางมีจำนวนไม่มากถึงขนาดที่ นาย ฉ. และจำเลยจะต้องแบ่งแยกกันครอบครองซึ่งไม่สะดวกแก่การส่งมอบให้แก่สายลับ ที่สำคัญเมื่อค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลางได้ที่นาย ฉ.และจำเลยในที่เกิดเหตุแล้ว พยานโจทก์ทั้งสองดังกล่าวกับพวกก็ไม่ได้นำ นาย ฉ.และจำเลยพร้อมของกลางส่งมอบแก่พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรีซึ่งเป็นท้องที่เกิดเหตุในทันที แต่กลับนำ นาย ฉ. และจำเลยไปตรวจปัสสาวะเพื่อหาสารเสพติด จากนั้นยังนำ นาย ฉ. และจำเลยไปที่สถานีตำรวจทางหลวง 1 ซึ่งตั้งอยู่ที่เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร และควบคุมบุคคลทั้งสองไว้ที่สถานีตำรวจทางหลวง 1 อีกหลายชั่วโมง จนกระทั่งเวลาประมาณ 21 นาฬิกา จึงได้นำบุคคลทั้งสองไปส่งมอบแก่เจ้าพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรี โดยไม่ปรากฏเหตุผลและความจำเป็นใดๆ ที่ต้องทำเช่นนั้น แต่กลับได้จากพันตำรวจโท ป. ตอบทนายความจำเลยถามค้านและตอบโจทก์ถามติงว่า เหตุที่นำ นาย ฉ. และจำเลยไปที่สถานีตำรวจทางหลวง 1 ก็เพื่อทำบันทึกการจับกุม ทำประวัติอาชญากรและสืบสวนขยายผลซึ่งเป็นการสะดวกกว่าที่จะทำการดังกล่าวที่สถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรี เห็นว่า นอกจากจะเป็นการขัดต่อ ป.วิ.อ.มาตรา 84 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติให้เจ้าพนักงานผู้ทำการจับต้องเอาตัวผู้ถูกจับไปยังที่ทำการของพนักงานสอบสวนโดยทันทีแล้ว ข้อที่ว่าการกระทำการดังกล่าวที่สถานีตำรวจทางหลวง 1 จะเป็นการสะดวกกว่าทำที่สถานีตำรวจภูธรเมืองชลบุรีก็เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น ส่วนบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.4 ที่ระบุว่า จำเลยให้การรับสารภาพ นั้นก็ไม่สามารถนำมารับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 84 วรรคสุดท้าย ดังนั้น พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังมีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้ร่วมกันกระทำความผิดกับ นาย ฉ. ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตาม ป.วิ.อ.มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
         พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2
 

แสดงความเห็น

ข่าวที่มีผู้อ่านมาก