เนื่องจากสามีมีบัตรเครดิตธนาคารกสิกรไทย และ บัญชีธนาคารกสิกรไทยอยู่ 3 บัญชี และ โอดี อีก 1 บัญชี และเมื่อเดือนที่ผ่านมา เศรษฐกิจที่ร้านไม่ค่อยดี ทำให้จ่ายค่าบัตรเครดิตล่าช้าไปยังไม่ถึง 1 เดือน เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 53 ธนาคารโทรมาหาสามีตอนเย็น ให้ไปชำระค่าบัตรเครดิต แต่สามีบอกว่าตอนนี้มีติดตัวอยู่ 5000 บาท และสามารถชำระที่ไหนได้บ้าง ทางเจ้าหน้าที่บอกว่า 7-11 สามีจึงนำเงินไปชำระที่นั้น และประมาณทุ่มกว่า พนักงานก็โทรมาอีก สามีจึงบอกว่า ชำระไปทาง 7-11 แล้ว แต่เจ้าหน้าที่บอกไม่ได้ เพราะเงินจะออนไลน์ใช้เวลา 2 วัน ให้ไปชำระที่ธนาคาร แต่ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบสองทุ่ม จะมีธนาคารไหนเปิด สามีจึงบอกว่าไม่สามารถจะไปชำระได้ แต่ทางเจ้าหน้าที่ได้ขู่ว่า จะส่งข้อมูลเข้าเครดิตพูโล และขู่อีกว่า จะปิดบัญชีโอดีของสามี ซึ่งสามีได้ติดหนี้บัตรเครดิตแค่ 1 เดือนเท่านั้น และได้ผ่อนชำระไปเป็นจำนวนหนึ่งแล้ว
และเมื่อวันที่ 9 ก.ย. สามีก็โทรเข้าที่เบอร์ 02 888-8888 เพื่อคุยกับเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ก็บอกว่า มีลูกค้าโทรมาบ่นหลายคน เรื่องที่ทางธนาคารโทรไปขู่ และวันนี้ 10 ก.ย. ทางเจ้าหน้าที่ติดตามหนี้ เบอร์ 02 479-9786 ได้โทรมาหาสามี บอกว่า ธนาคารมีสิทธิ์ระงับโอดี และบัตรเครดิต ซึ่งสามีก็ได้อธิบายไป พนักงานก็บอกว่าเป็นนโยบายของทางธนาคาร และข้าพเจ้าได้พูดแทรกทางโทรศัพท์ ไปว่า จะโพสข้อความทางอินเตอร์เน็ต และจะส่งสคบ. เจ้าหน้าที่คนนั้นบอก จะโพสหรือจะทำอะไรก็ทำเลย ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้นี้ หรือ ผู้จัดการคนนี้ ไม่มีการลดละ และบอกว่า เจ้าหน้าที่คนก่อนไม่ได้ขู่เลยว่าจะส่งพูโล
โดยส่วนตัว การจะส่งข้อมูลเครดิตที่จะติด Black List นั้น ทางลูกหนี้จะต้องไม่ผ่อนชำระเป็นเวลาติดต่อกัน 3 เดือน แต่นี่ แค่หนึ่งเดือน ก็สามารถส่งได้แล้ว เลยไม่เข้าใจมาตรฐานของธนาคารกสิกรไทย เป็นธนาคารที่ใหญ่ ไม่เคยมีเรื่องเสียหาย แต่ทำไมถึงเอาเปรียบลูกค้าขนาดนี้ สามีเลยบอกกับทางเจ้าหน้าที่ว่า จะปิดบัตรเครดิตเลยล่ะกัน และก็จะปิดโอดีกับบัญชีอื่น ๆ ที่ใช้อยู่ปัจจุบันตาม แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่สนใจ หรือว่า ธนาคารนี้ไม่สนใจลูกค้ารายเล็ก คิดว่าลูกค้าไม่สำคัญ มีลูกค้าอีกหลายล้านคน แต่ธนาคารน่าจะคิดด้วยว่า ธนาคารก็มีอยู่หลายธนาคารเหมือนกัน ไม่ใช่มีอยู่ธนาคารเดียว เมื่อคุณไม่บริการลูกค้า วันนี้อาจเสียลูกค้าไปหนึ่งคน ไม่แน่ วันต่อ ๆ ไป อาจเสียวันละคน สองคน ปาก ต่อ ปาก จะเกิดอะไรขึ้น