เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อวันที่ 3 มีนา 2651 มีหมายเรียกจากพนักงานสอบสวน ให้เข้าพบ เนื่องจากมีคนในครอบครัวไปแจ้งความว่าผมเข้าไปลักทรัพย์ เมื่อเดือน พ.ค. ปี 2555 เมื่อเจ้าพบ พงส.ก็ได้แจ้งว่า ตะไกล่เกลี่ยให้เนื่องจากคดีนี้มีอะไรแอบแฝง และคล้ายๆเป็นเรื่องครอบครัว เดี๋ยวจะนัดวันไกล่เกลี่ยอีกครั้งนึง ( พงส. บอกว่าท่านรับแจ้ง แต่ก็ไม่ได้มีเลขคดี )
เมื่อถึงวันนัดก็ได้เข้าไปไกล่เกลี่ย พงส.ท่านก็บอกว่าให้ยอมขอโทษไปก่อน ยอมกราบท่านเถอะ จะได้จบๆ ( อันนี้ผมก็เห็นตรงกับ พงส. ท่านคงหวังดี คิดว่าเป็นคดีคนในครอบครัวน้อยใจกันเฉยๆ ) เมื่อเข้าไกล่เกลี่ย ฝั่งโน้น ก็ยื่นข้อเสนอมาว่า ให้โอนที่ดินผืนนึงของพ่อให้กับท่าน แล้วท่านจะถอนแจ้งความผม ( ที่ดินผืนนี้ ท่านเข้าใจว่าท่านเป็นคนซื้อให้พ่อผม ทั้งๆที่พ่อผมกู้เงินมาซื้อและผ่อนเอง ทราบทีหลังว่า ท่านเอาเงินก้อนไปปิดยอดให้ แล้วก็ให้พ่อผ่อนกับท่านจนหมด )
ข้อเท็จจริงคือ 1. เดือน พ.ค. ปี 2555 ผมไม่ได้อยู่ในจังหวัดที่เกิดเหตุ และไม่ได้ลักทรัพย์นี้
2. เท่าที่ทราบในคำแจ้งความ คือ ผมเจ้าลักทรัพย์ในบ้าน เลขที่ 000 ซึ่งถ้าจำไม่ผิดหลังดังกล่าวได้ให้คนเช่ามาเป็นสิบปีแล้ว
3. ฝั่งโน้นแจ้งความโดยบอกว่ามีคนเห็นผมเป็นคนเอาไป
ข้อสงสัยและขอความกรุณา
1. แชทจากเฟสบุค ชวนเพื่อนไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดที่ผมอยู่ ณ ตอนนั้น ใช้เป็นหลักฐานได้หรือไม
2. บัญชีธนาคารที่เปิดไว้ต่างจังหวัด ( เปิดเดือนมกรา ) บันทึกประจำวัน ( แจ้งช่วงปลายเดือนสิงหา ) ปีเดียวกันแต่คนละเดือน ใช้ยืนยันที่อยู่ได้หรือไม่
3. สลิปการใช้งานบัตรเครดิต ใช้เป็นหลักฐานยืนยันที่อยู่ได้หรือไม่ ( ทั้งกรณีเดือนเดียวกัน และคนละเดือน)
4. การให้บุคคนที่สามโอนทรัพย์สินให้แล้วจะถอนแจ้งความ อันนี้เข้าข่ายกรรโชคทรัพย์หรือไม่
5. เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่อีกฝั่งมโนขึ้นมา นอกจากหลักฐานที่กล่าวมาข้างต้น ผมพอจะหาอะไรมายืนยันได้อีกบ้างครับ
6. ตอนนี้ผมรอเรียกจาก พงส. เพื่อสอบสวน วันนัดสอบสวน ผมควรเตรียมอะไรไปบ้างครับ
7. หากต้องดำเนินคดีจริงๆ มูลค่าทรัพย์ที่เขาแจ้งไว้คือ 1500 บาท จะต้องใข้เงินประมาณเท่าไหร่ในการประกันตัว และผมสามารถประกันตัวเองได้หรือไม่
ที่ผมเล่ามาทุกอย่างเป็นความสัจจริงทุกประการ รบกวนขอคำปรึกษาด้วยครับ
ขอบพระคุณอย่างสูง