ดิฉันมีตำแหน่ง ผู้บริหาร (ผู้อำนวยการ กศน.อำเภอสระใคร จังหวัดหนองคาย) ได้ถูกแม่ของนักศึกษาร้องเรียนว่าประพฤติไม่ชอบ ด้วยการรับเงิน 300 บาทจากนักศึกษา กศน. ซึ่งเรื่องจริงคือ
ปีการศึกษาที่แล้วมีนักศึกษา กศน.ที่ไม่ทำกิจกรรม กพช. (การพัฒนาทักษะอาชีพ) บางคน ส่งผลให้ทาง กศน.ไม่สามารถออกวุฒิการจบการศึกษาได้ ดิฉันในฐานะผู้บริหารได้มารับตำแหน่งปีที่แล้ว และพบว่ามีนักษาบางคนที่ยังค้างไม่จบจากสมัยที่ ผอ.คนเดิมดำรงตำแหน่ง ดิฉันจึงให้ทางครูประจำตำบลได้ลงไปติดตามและติดต่อให้มาทำกิจกรรม กพช.นี้เพื่อให้จะำด้ออกวุฒิ แต่มีบางคนเท่านั้นที่ไม่มาทำ ซึ่งอ้างว่าไม่ว่าง ไม่ก็ติดทำงานที่ กทม. ผลัดไปเรื่อย จนสุดท้ายตัวนักศึกษาคนนนี้มาขอวุฒิเพราะจำเป็นไปสมัครงาน โดยติดต่อและเร่งรัดจะเอาให้ได้ ภายในอาทิตย์นั้น ซึ่งทางหน่วยงานจะจัดกิจกรรม กพช.สุดท้ายให้กลุ่ม นศ.ที่ไม่ได้ทำมาทำในอาทิตย์หน้า แต่ตัว นศ.โวยวายพร้อมทั้งยังนำผู้ปกครองมาเร่งรัด และใช้พูดโดยไร้เหตุผล ไม่ฟังคำอธิบาย ซึ่งจากนั้นดิฉันบอกขอประชุมกับตัวครูทุกตำบลก่อนเพื่อหาทางแก้ปัญหากับเด็กประเภทนี้ โดยครูได้ลงความเห็นว่า เด็กเหล่านี้ไม่มีเวลามาทำ กพช. แต่รีบอยากได้วุฒิ เพื่อให้เท่าเทียมกับผู้ทีมาทำ กพช. ที่ออกแรง (เช่น กิจกรรมทาสี กิจกรรมปลูกไม้ประดับ) ให้พวกเขาออกเงินแทน โดยเมื่อดูจากราคาวัสดุอุปรณ์จริงราคากลาง ที่ต้องนำมาใช้ทำกิจกรรม และมี นศ.ประเภทนี้จำนวนน้อย จึงให้ครูตำบลเก็บพวกเขาคนละ 300 บาท พร้อมมีหลีกฐานยืนยันว่าร่วมออกค่าใช้จ่ายเพื่อซื้ออุปกรณ์ทำ กพช. เนื่องจากตนเองไม่สามารถมาทำกิจกรรมได้และมีความไม่สะดวกแต่ต้องการจบ โดยเงินนั้นทางครูตำบลแต่ละตำบลแบ่งจัดสรรไปซื้อวัสดุอุปกรณ์ในการทำกิจกรรม กพช.อย่างเปิดเผย มียอดเงินชัดเจน ตัวเด็กก็ยินยอมโดยไม่ได้บังคับ และดิฉันไม่ใช้คนเก็บเงินนั้นเองไว้กับตัวแม้แต่น้อย
ซึ่งตัวแม่เด็กนั้น เป็น อสม.ตำบลหนึ่ง และเขียนคำร้อง โดยทางผู้บังคับบัญชาเรียกมาสอบถามก่อน โดยดิฉันได้เล่าความจริงทั้งหมด พร้อมกล่าวว่า ดิฉันจะเสียงานเสียการ เสียศักดิ์ศรีเพียงเิงน 300 จากเด็กหรือ และมีพยานบุคคล คือ ครู กศน.ตำบลที่ร่วมประชุม และเอกสารหลักฐานที่ทางครูจัดทำจัดเก็บ ซึ่งทางผู้บังคับบัญชาของดิฉันแนะนำให้ไปคุยกับตัวแม่เด็กก่อน และวันนั้นดิฉันพร้อมครู ตำบลจำนวน 5 คนได้ไปพบกับแม่เด็กพร้อมคำอธิบายและพยาน แต่แม่เด็กยังดื้อดึงไร้เหตุผล โดยฟังความเพียงแต่ลูกสาวอย่างเดียว พร้อมนั้นยังหมิ่นดิฉันว่าไม่สมควรปฏิบัติเป็นผู้บริหาร และต้องการให้ย้ายออก ถ้าอยู่คงไม่เจริญ และอีกมากมาย หลักฐานที่ลูกคุณทำ กพช.ก็ไม่มี ซึ่งทางดิฉันและครูต่างส่ายหัวและกลับก่อน ซึ่งตอนนี้ทราบอีกว่าทางแม่เด็กได้อ้างว่าอัดคลิปเสียงตอนสนทนาเรื่องนี้กับดิฉัน ดิฉันได้แต่หายใจออกอย่างแรงเพราะเหตุการณ์นั้นทุกคนนมาพูดคุยกับแม่เด็กคนนี้ด้วยกันทุกคน ไม่ได้อยู่สองต่อสอง หรือมีคำพูดที่ดูเหมือนรับเงินอย่างไม่เปิดเผยแม้แต้น้อย อยากที่ทราบว่า เมื่อทางคณะกรรมการทางสถานศึกษาดิฉันเห็นว่าฉันถูกต้อง และเกิดจากความเข้าใจผิด และถ้าดิฉันต้องการดำเนินการฟ้องตัวแม่เด็กในฐานะเป็นบุคลากรในกระทรวงสาธารณสุขเพราะหมิ่นประมาทและทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงทั้งตัวฉัน บุคลากร และสถานศึกษา สามารถเอาผิดเจ้าตัวได้ไหมคะ แล้วเอาผิดในทางกฎหมายอย่างไร ขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ค่ะ