การละเมิดเครื่องหมายการค้าของผู้อื่น
ทุกวันนี้เจ้าของกิจการยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการนำเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นมาใช้โดยมิชอบ มีนักธุรกิจขอคำปรึกษามาหลายราย ทนายคลายทุกข์ขอนำมาเล่าให้ท่านฟังเป็นข้อ ๆ ดังนี้
1. เจ้าของโชว์รูมรถยนต์ นำเครื่องหมายการค้าของรถยนต์ไปใช้ทั้งที่มิได้เป็นตัวแทนจำหน่าย เช่น นำเครื่องหมายการค้า BENZ BMW ไปใช้ ทั้งที่ตนเองมิใช่ตัวแทนจำหน่ายโดยตรงของสินค้ารถยนต์ดังกล่าว ซึ่งคดีประเภทนี้เจ้าของเครื่องหมายการค้าเคยร้องเรียนต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญาแล้วเพื่อให้ไกล่เกลี่ย ดังนั้น การที่จะนำเครื่องหมายการค้าไปติดไว้หรือขึ้นป้ายหน้าบริษัทหรือลงโฆษณา ตามกฎหมายแล้วควรจะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากเจ้าของเครื่องหมายการค้า มิฉะนั้น อาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
2. กรณีอู่ซ่อมรถนำโลโก้ของรถยนต์ไปติดหน้าอู่ซ่อมรถของตนเอง เช่น
3. การใช้ชื่อทางการค้าของบุคคลอื่น เช่น ชื่อทนายคลายทุกข์ เป็นชื่อทางการค้าของรายการทนายคลายทุกข์ ยังเคยมีรายการโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ช่องดังช่องหนึ่ง นำไปตั้งชื่อรายการทางโทรทัศน์ ทนายคลายทุกข์ทำหนังสือแจ้งให้หยุดละเมิดสิทธิการใช้นามมาแล้ว เพราะชื่อดังกล่าวได้มีการลงทุนสร้างชื่อเสียงเป็นเวลาเกือบ 20 ปีกว่าจะเป็นที่ยอมรับของสังคม ถึงแม้จะไม่ได้จดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายบริการ ผู้ที่นำชื่อของบุคคลอันไปใช้เพื่อหาประโยชน์ จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เรียกว่า การละเมิดสิทธิการใช้นาม
4. เป็นตัวแทนลิขสิทธิ์มีอำนาจในการผลิตสินค้าตามจำนวนและเงื่อนไขที่ตกลงกัน เช่น ผลิตกางเกงยีนส์เครื่องหมายการค้าลีวาย แต่ผลิตเกินจำนวนที่อนุญาต โดยไม่ได้แจ้งให้เจ้าของเครื่องหมายการค้าทราบ เป็นการหาประโยชน์จากเครื่องหมายการค้าของผู้อื่นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ต้อวงรับผิดชอบทั้งทางแพ่งและทางอาญา
5. พิมพ์เครื่องหมายการค้าของผู้อื่นลงในนามบัตรของตนเอง โดยไม่ได้รับอนุญาต มีความผิดฐานละเมิดเครื่องหมายการค้า
6. ใช้เครื่องหมายการค้าที่มีลักษณะเกือบเหมือนเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่น มีความผิดฐานละเมิดเครื่องหมายการค้า
ทนายคลายทุกข์ขอนำ ความรู้เกี่ยวกับ “เครื่องหมายการค้า” หมายถึง เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์หรือตราที่ใช้กับสินค้าหรือบริการ ซึ่งเครื่องหมายที่ให้ความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2543 มี 4 ประเภท ดังต่อไปนี้
1. เครื่องหมายการค้า (Trade Mark) คือเครื่องหมายที่ใช้เป็นที่หมายเกี่ยวข้องกับสินค้าเพื่อแสดงว่าสินค้าที่ ใช้เครื่องหมายนั้นแตกต่างกับสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่น เช่น บรีส มาม่า กระทิงแดง เป็นต้น
2. เครื่องหมายบริการ (Service Mark) คือ เครื่องหมายที่ใช้เป็นที่หมายหรือเกี่ยวข้องกับบริการ เพื่อแสดงว่าบริการที่ใช้เครื่องหมายนั้นแตกต่างกับบริการที่ใช้เครื่องหมาย บริการของบุคคลอื่น เช่น เครื่องหมายของสายการบิน ธนาคาร โรงแรม เป็นต้น
3. เครื่องหมายรับรอง (Certification Mark) คือ เครื่องหมายที่เจ้าของเครื่องหมายรับรองใช้เป็นที่หมายหรือเกี่ยวข้องกับ สินค้าและบริการของบุคคลอื่น เพื่อเป็นการรับรองคุณภาพของสินค้า หรือบริการนั้น เช่น เชลล์ชวนชิม แม่ช้อยนางรำ ฮาลาล (Halal) เป็นต้น
4. เครื่องหมายร่วม (Collective Mark) คือ เครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายบริการที่ใช้โดยบริษัทหรือวิสาหกิจในกลุ่ม เดียวกัน หรือโดยสมาชิกของสมาคม กลุ่มบุคคล หรือองค์กรอื่นใดของรัฐหรือเอกชน เช่น ตราช้างของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด เป็นต้น
กรณีศึกษาเกี่ยวกับคดีละเมิดเครื่องหมายการค้า
ผู้อ่านสอบถามเข้ามาเรื่อง การนำเสื้อผ้าแบรนด์เนมที่ผลิตเกิน Order หรือไม่ผ่าน QC มาขายจะถือว่าละเมิดเครื่องหมายการค้าหรือลิขสิทธิ์หรือไม่ ซึ่งเป็นแบรนด์ดังในต่างประเทศ ( ไม่แน่ใจว่าในประเทศจะมีขายหรือไม่ ) แต่ทั้งนี้ ไม่ทราบว่าจะโดนเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์หรือเครื่องหมายการค้าหรือไม่ และจะมีบทลงโทษอย่างไร และหากจะทำการเลี่ยงขาย โดยการขีดฆ่าด้วยปากกา หรือตัดป้ายแบรนด์ออก จะสามารถทำได้หรือไม่ (เคยเห็นตัวอย่างเสื้อผ้าที่ขายในร้าน Export Shop ตามห้างสรรพสินค้า ก็ตัดป้ายออกหรือขีดฆ่า)
คำแนะนำในการใช้เครื่องหมายการค้า
1. หากมีความจำเป็นจะต้องนำเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นมาใช้ จะต้องขออนุญาตและจะต้องมีหนังสือให้ความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร มิฉะนั้น อาจถูกดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญา
2. ควรออกแบบเครื่องหมายการค้าของตนเอง และนำไปจดทะเบียนต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อใช้เป็นเครื่องหมายการค้าของตนเองจะดีกว่า
3. หากมีข้อสงสัยว่าเครื่องหมายการค้าของตนเองมีส่วนคล้ายคลึง ให้ตรวจสอบจากกรมทรัพย์สินทางปัญญา มิฉะนั้น อาจต้องตกเป็นจำเลยในคดีละเมิดเครื่องหมายการค้า