ทนายดังจะถูกแจ้งข้อหาเป็นคนกลางเรียกรับสินบนในวันพรุ่งนี้
ทนายดังเรียกเงินจากลูกความเพื่อไปวิ่งเต้นอัยการ ห้าแสนบาทตามที่เป็นข่าว ถ้าเป็นเรื่องจริงมีความผิดฐานเป็นคนกลางเรียกสินบน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 มีโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทนายความรับว่าความเรียกค่าว่าความได้ แต่รับวิ่งเต้นจะเรียกค่าวิ่งเต้นไม่ได้ ผิดทั้งจรรยาบรรณ ผิดทั้งกฎหมาย สุดท้ายต้องถูกลบชื่อจากการเป็นทนาย และต้องเข้าไปเป็นที่ปรึกษากฎหมายในเรือนจำต่อไป ความโลภทำให้ทนายบางคนหน้ามืดตามัว สุดท้ายต้องเข้าไปอยู่ในคุก
ตัวอย่างคำพิพากษาฎีกา
1.คำพิพากษาฎีกาที่ 14171/2557
จำเลยเรียกเงินจากน. กับส. โดยแอบอ้างว่าจะนำเงินไปให้พนักงานอัยการเจ้าของสำนวนทำความเห็นไม่คัดค้านการขอปล่อยชั่วคราวของน.โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเป็นคุณแก่ น. ซึ่งเป็นจำเลยในคดีอาญา แม้จำเลยจะยังไม่ได้รับเงิน หรือนำเงินไปให้อัยการเจ้าของสำนวนตามที่จูงใจก็ตาม การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดตามป.อ. มาตรา 143
2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 661/2554
จำเลยเรียกและรับเงินจากผู้เสียหายทั้งสองเพื่อเป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจเจ้าพนักงานในตำแหน่งพนักงานอัยการ โดยวิธีอันทุจริตผิดกฎหมาย เพื่อให้กระทำการในหน้าที่โดยการช่วยเหลือในทางคดีให้สั่งไม่ฟ้องคดีแก่บุคคลที่ถูกดำเนินคดีอาญา แม้พนักงานอัยการจะมิได้เป็นเจ้าของสำนวนในคดีนั้นและจำเลยยังมิได้ให้เงินก็ตาม ก็ถือว่าพนักงานอัยการนั้นเป็นเจ้าพนักงานที่จำเลยจะจูงใจให้กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณแก่บุคคลที่จำเลยจะให้ช่วยเหลือแล้ว การกระทำของจำเลยครบองค์ประกอบแห่งความผิดตาม ป.อ. มาตรา 143 แล้ว และเป็นความผิดต่อรัฐโดยตรง โจทก์ร่วมทั้งสองจึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายไม่อาจเข้าร่วมเป็นโจทก์ได้
3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7695/2543
การที่จำเลยที่ 2 ร่วมเรียกและรับเงินไปจาก น. เป็นการตอบแทนโดยอ้างว่าจะนำไปใช้จูงใจเจ้าพนักงานในตำแหน่งผู้พิพากษาโดยวิธีการอันทุจริตให้กระทำการในหน้าที่พิพากษาคดีโดยรอการลงโทษจำคุกให้แก่ น. ในคดีอาญาที่ น. ถูกฟ้องนั้น ครบองค์ประกอบตามผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 แล้ว แม้จำเลยทั้งสองไม่ได้ไปจูงใจผู้พิพากษาให้กระทำการในหน้าที่ให้เป็นคุณแก่ น. ก็ยังครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 143 แม้คำเบิกความของ น. ไม่ได้ระบุชื่อผู้พิพากษาซึ่งมีหน้าที่พิจารณาคดีอาญาที่ น. ถูกฟ้อง ก็ไม่ทำให้การกระทำของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นความผิดเพราะขาดองค์ประกอบความผิดไปแต่อย่างใด
4.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4846/2536
การที่จำเลยเรียกและรับเงินไปจาก ฉ.เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจเจ้าพนักงานในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกาโดยวิธีอันทุจริตให้กระทำการในหน้าที่พิพากษาคดีอันเป็นคุณแก่ ฉ.ให้ฉ.ชนะคดีในชั้นศาลฎีกานั้นครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 แล้ว จำเลยจะได้ไปจูงใจเจ้าพนักงานในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกาให้กระทำการในหน้าที่ให้เป็นคุณแก่ฉ.หรือไม่ หาใช่องค์ประกอบของความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 143 ไม่ ดังนั้น แม้ศาลชั้นต้นจะได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาไปก่อนที่จำเลยจะได้เรียกและรับเงินจากฉ.จำเลยย่อมไม่สามารถจะจูงใจเจ้าพนักงานในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกาให้ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นคุณแก่ ฉ.ได้ทันก็ตาม ก็ไม่ทำให้การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดเพราะขาดองค์ประกอบความผิดไปแต่อย่างใด
5.คำพิพากษาฎีกาที่ 4586/2534
การที่จำเลยเรียกและรับเงินจากท.กับพวกโดยอ้างว่าจะเอาไปให้ผู้พิพากษาศาลอุทะรณ์เพื่อให้พิพากษายกฟ้องในคดีที่ท.กับพวกเป็นจำเลย ดังนี้ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เพื่อให้พิพากษายกฟ้องในคดีที่ท.กับพวกเป็นจำเลย ดังนี้ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่จำเลยอ้างดังกล่าว ย่อมหมายถึงผู้พิพากษาผู้มีอำนาจพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์ตามกฎหมาย แม้จะมิได้เป็นเจ้าของสำนวนหรือองค์คณะที่พิจารณาคดีนั้นก็ตาม ก็ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานที่จำเลยจะจูงใจให้กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ท.กับพวกแล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามป.อ. มาตรา 143
ตัวบทกฎหมายอ้างอิง
ความผิดฐานเป็นคนกลางเรียกรับสินบน
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 143 ผู้ใดเรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสําหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจหรือได้จูงใจเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัดหรือสมาชิกสภาเทศบาลโดยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมายหรือโดยอิทธิพลของตนให้กระทําการ หรือไม่กระทําการในหน้าที่อันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใด ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ