คำพิพากษาฎีกาเตือนสติพวกชอบแฉเรื่องส่วนตัวชาวบ้านทาง Facebook|คำพิพากษาฎีกาเตือนสติพวกชอบแฉเรื่องส่วนตัวชาวบ้านทาง Facebook

คำพิพากษาฎีกาเตือนสติพวกชอบแฉเรื่องส่วนตัวชาวบ้านทาง Facebook

  • ทนายคลายทุกข์ ปรึกษากฎหมาย โทร 02-9485700
  • Email: [email protected]
Header Background Image

งานเผยแพร่ความรู้ทางด้าน กฎหมาย การบริหารการจัดการหนี้สินในองค์กรภาครัฐและภาคเอกชน การฝึกอบรมสัมมนาพัฒนาบุคลากร ในการประกอบธุรกิจ หากหน่วยงานของรัฐ บริษัทห้างร้าน มีความสนใจ เชิญทีมงานไปฝึกอบรมสัมมนาหรือต้องการข้อมูลข่าวสาร ติดต่อได้ที่ 02-948-5700 อ่านต่อ

ท่านใดที่สนใจเกี่ยวกับหลักสูตรฝึกอบรมการติดตามหนี้ ทวงหนี้อย่างไรให้ได้ผล ได้เงิน รักษาภาพลักษณ์ รักษาลูกค้า/หลักสูตรการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตภายในองค์กร/หลักสูตรกฎหมายแรงงาน สำหรับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลหรือผู้บริหารบริษัท สนใจโทร.02-9485700 อ่านต่อ

สืบทุกเรื่องที่คุณอยากรู้ มีเรื่องคาใจอยากรู้ความจริง โทรมาคุยกับกุ้งได้ที่ 081-625-2161หรือ 089-669-5026 "อย่าปล่อยให้มีเรื่องคาใจ อะไรที่ไม่สบายใจ ต้องหาทางปลดปล่อย สืบให้รู้ความจริง จะได้จบสิ้นกันเสียที สำหรับความทุกข์ที่คาใจมาเป็นเวลานาน อย่าปล่อยให้คนนอกใจลอยนวล" อ่านต่อ

รับแปลเอกสารต่างๆ อ่านต่อ

คำพิพากษาฎีกาเตือนสติพวกชอบแฉเรื่องส่วนตัวชาวบ้านทาง Facebook

  • Defalut Image

 1. ข่มขืนใจผู้อื่นว่าจะเปิดเผยความลับ เช่น ข้อมูลที่ถูกร้องเรียน

บทความวันที่ 15 มิ.ย. 2561, 14:22

มีผู้อ่านทั้งหมด 1308 ครั้ง


คำพิพากษาฎีกาเตือนสติพวกชอบแฉเรื่องส่วนตัวชาวบ้านทาง Facebook

             1. ข่มขืนใจผู้อื่นว่าจะเปิดเผยความลับ เช่น ข้อมูลที่ถูกร้องเรียน ข้อมูลการร่วมประเวณี การหลีกเลี่ยงภาษี มีความผิดฐานรีดเอาทรัพย์ จำคุกสูงสุด 10 ปี อ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 662/2548 ฎีกาที่ 1869/2536
            2. ข่มขู่จะเปิดเผยความลับ แต่ไม่ได้เรียกประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน ผิดฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ อ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 1447/2513
            3. เอาภาพมาตัดต่อหรือสร้างเรื่องเท็จซึ่งไม่เป็นความจริงมาข่มขู่ จะเปิดเผยซึ่งไม่ถือเป็นความลับ เพราะไม่ใช่เรื่องจริงทำให้คนที่ถูกข่มขู่กลัวว่าจะเสียชื่อเสียงและเรียกเงินเรียกทอง มีความผิดฐานกรรโชก ตามมาตรา 337 วรรคแรก อ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 10843/2553
            4. ความลับหมายถึง เหตุการณ์จริงที่เจ้าของความลับต้องการปกปิดไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ อ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่ 12685/2558

สอบถามข้อกฎหมาย 081-6161425 หรือสำนักงาน 02-9485700
#ทนายคลายทุกข์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่อ้างอิง
1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 662/2548

                ผู้เสียหายทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานที่ดินได้รับคำสั่งจากกรมที่ดินให้ปฏิบัติงานตามโครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินทั้งตำบลและเปลี่ยน น.ส. 3 ก เป็นโฉนดที่ดิน ระหว่างปฏิบัติหน้าที่มีผู้ร้องเรียนไปยังกรมที่ดินว่าผู้เสียหายที่ 1 เรียกและรับเงินค่าออกโฉนด กรมที่ดินจึงมีคำสั่งเรียกตัวกลับกรมที่ดินโดยขณะนั้นผู้เสียหายที่ 1 ไม่ทราบสาเหตุ จำเลยเป็นผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ได้โทรศัพท์ติดต่อผู้เสียหายที่ 1 และได้ไปพบผู้เสียหายทั้งสองพร้อมมอบนามบัตรจำเลยให้ผู้เสียหายทั้งสอง และแจ้งถึงเหตุที่ผู้เสียหายที่ 1 ถูกเรียกตัวกลับ จำเลยเป็นผู้ดำเนินการทำหนังสือร้องเรียนและลงข่าวในหนังสือพิมพ์สองฉบับแล้วครั้งหนึ่ง ต่อมาจำเลยได้เรียกร้องเงินจากผู้เสียหายทั้งสอง เพื่อแลกกับการที่จำเลยจะไม่ลงข่าวที่ผู้เสียหายที่ 2 เรียกและรับเงินค่าออกโฉนดอีกท้องที่หนึ่งกับท้องที่ที่ถูกร้องเรียนครั้งแรก ผู้เสียหายที่ 1 ขอให้จำเลยอย่าเพิ่งลงข่าว ผู้เสียหายที่ 1 กำลังหาเงิน ผู้เสียหายที่ 1 จะกู้เงินสหกรณ์มาให้จำเลย แต่ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายที่ 1 ได้ดำเนินการกู้เงินสหกรณ์ตามที่อ้าง หลังจากนั้นจำเลยได้โทรศัพท์ขู่ผู้เสียหายที่ 2 หลายครั้งเพื่อเร่งรัดผู้เสียหายที่ 1 หากผู้เสียหายที่ 1 ไม่มีก็ให้ผู้เสียหายที่ 2 ออกเงินให้แทน ผู้เสียหายทั้งสองจึงแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจและวางแผนจับกุมจำเลยได้พร้อมธนบัตรที่มอบให้จำเลยกับเครื่องบันทึกเสียงพร้อมเทปที่ตัวจำเลย โดยเทปดังกล่าวบันทึกเสียงที่จำเลยสอบถามชาวบ้านเรื่องที่ผู้เสียหายที่ 1 เรียกรับเงินกับเสียงพูดระหว่างจำเลยกับผู้เสียหายที่ 1 ขอร้องไม่ให้ลงข่าวและจะส่งเอกสารให้แก่ผู้เสียหายที่ 1 พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามรีดเอาทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 80,338
             จำเลยประกอบอาชีพเป็นผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ซึ่งต้องมีจรรยาบรรณในการเสนอข่าวตามความเป็นจริงและเป็นธรรม ไม่ลำเอียง แต่จำเลยกลับแสวงหาประโยชน์ที่มิชอบจากอาชีพของตนเป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนและสังคม จึงไม่สมควรที่จะรอการลงโทษ

2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1869/2536
             จำเลยกับพวกร่วมกันข่มขืนใจโจทก์ร่วมให้ยอมให้หรือยอมจะให้เงินจำนวน 350,000 บาท แก่จำเลยกับพวก โดยขู่เข็ญว่าถ้าไม่ให้จะนำวีดีโอเทปการร่วมประเวณีระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยไปฉายให้ประชาชนดู จะฟ้องต่อเจ้าคณะจังหวัดกรมการศาสนา และจะลงหนังสือพิมพ์แต่โจทก์ร่วมไม่ได้มอบเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่จำเลยกับพวกการกระทำของจำเลยกับพวกเข้าองค์ประกอบของความผิดฐานพยายามรีดเอาทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 338 ประกอบมาตรา 80

3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1447/2513
             จำเลยกับโจทก์ร่วมเข้าหุ้นทำการก่อสร้างโรงเรียนร่วมกัน จำเลยพาพวกซึ่งมีอาวุธปืนติดตัวไปขู่เข็ญให้โจทก์ร่วมคิดบัญชีการเงินเกี่ยวกับการก่อสร้างโรงเรียน โจทก์ร่วมไม่ยอมคิดบัญชีประกอบกับขณะนั้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามา จำเลยกับพวกจึงบังคับให้โจทก์ร่วมคิดบัญชีไม่สำเร็จ เช่นนี้การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานพยายามกรรโชก เพราะจำเลยไม่มีทางได้ประโยชน์ในทางทรัพย์สินโดยมิชอบแต่อย่างใด แต่การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามกระทำผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง ประกอบมาตรา 80, 83เพราะจำเลยมีเจตนาที่จะทำให้โจทก์ร่วมกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตจนยอมคิดบัญชีให้ และจำเลยได้กระทำไปโดยตลอดแล้วเพื่อให้โจทก์ร่วมกลัวและปฏิบัติตามความประสงค์ของจำเลย

4. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10843/2553
             แม้เรื่องที่จำเลยนำไปขู่เข็ญผู้เสียหายซึ่งเป็นภิกษุว่า ผู้เสียหายมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงจะไม่เป็นความจริง จึงไม่ถือเป็นความลับอันเป็นความผิดฐานรีดเอาทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 338 ดังที่โจทก์ฟ้องก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยดังกล่าวก็เป็นการข่มขืนใจผู้เสียหายให้ยอมให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชื่อเสียงของผู้เสียหายผู้ถูกขู่เข็ญจนผู้เสียหายผู้ถูกข่มขืนใจยอมใช้เงินแก่จำเลยอันเป็นความผิดฐานกรรโชก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 วรรคแรก ซึ่งแม้ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาจะแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง แต่ก็เป็นเพียงข้อแตกต่างกันในรายละเอียดเท่านั้น มิใช่ข้อแตกต่างในข้อสาระสำคัญ ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณานั้นเป็นเรื่องเกินคำขอหรือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ ทั้งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ จึงลงโทษจำเลยในความผิดฐานกรรโชกได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 225 ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 192 วรรคสาม

5.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12685/2558
             การขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยความลับซึ่งเป็นองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 338 หมายความว่า การขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยเหตุการณ์ข้อเท็จจริงที่ไม่ประจักษ์แก่บุคคลทั่วไป และเป็นข้อเท็จจริงที่เจ้าของความลับประสงค์จะปกปิดไม่ให้บุคคลอื่นรู้ ดังนี้ ความลับจึงไม่จำเป็นต้องเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือผิดศีลธรรมอันดีของประชาชน หากเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงและเจ้าของข้อเท็จจริงประสงค์จะปกปิดไม่ให้บุคคลอื่นรู้ก็ถือว่าเป็นความลับแล้ว เมื่อฎีกาของจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีภริยาอยู่แล้ว แต่จำเลยกับผู้เสียหายสมัครใจมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกันมาประมาณ 1 ปี ข้อเท็จจริงที่จำเลยกับผู้เสียหายมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกันจึงเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริง เมื่อเป็นการกระทำที่ผิดศีลธรรมอันดีของประชาชน แสดงว่าผู้เสียหายประสงค์จะปกปิดไม่ให้บุคคลอื่นโดยเฉพาะภริยาจำเลยรู้เรื่องดังกล่าว เรื่องนั้นจึงเป็นความลับของผู้เสียหาย การที่จำเลยขู่เข็ญผู้เสียหายว่าหากผู้เสียหายไม่นำเงินจำนวน 20,000 บาท มาให้จำเลย จำเลยจะนำเรื่องความสัมพันธ์ฉันชู้สาวระหว่างจำเลยซึ่งมีครอบครัวแล้วกับผู้เสียหายไปเปิดเผยต่อบุคคลอื่น จึงเป็นการขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยความลับของผู้เสียหาย ครบองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 338

ตัวบทกฎหมายอ้างอิง
ประมวลกฎหมายอาญา
               มาตรา 337
 ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือของบุคคลที่สาม จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกรรโชก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
               ถ้าความผิดฐานกรรโชกได้กระทำโดย
              (1) ขู่ว่าจะฆ่า ขู่ว่าจะทำร้ายร่างกายให้ผู้ถูกข่มขืนใจ หรือผู้อื่นให้ได้รับอันตรายสาหัส หรือขู่ว่าจะทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่ทรัพย์ของผู้ถูกข่มขืนใจหรือผู้อื่น หรือ
              (2) มีอาวุธติดตัวมาขู่เข็ญ
                 ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท
 

แสดงความเห็น

ข่าวที่มีผู้อ่านมาก