ค่าส่วนกลางหรือค่าคุ้มครองตลาดใหม่ดอนเมือง
ผมเองเคยทำคดีเกี่ยวกับตลาดขนาดใหญ่ในกรุงเทพมาแล้วหลายคดี ซึ่งตลาดขนาดใหญ่มักจะมีการเก็บค่าส่วนกลาง เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าพนักงานรักษาความปลอดภัย ค่าดูแลสถานที่จอดรถ ค่าเก็บขยะ และค่าใช้จ่ายอื่นๆที่จำเป็นในการรักษาความสะอาดและรักษาความสงบเรียกร้อย ถ้ามีการตกลงกันล่วงหน้าระหว่างเจ้าของตลาดและลูกบ้านหรือเจ้าของร้านค้ายินยอมจ่ายโดยสมัครใจข้อตกลงดังกล่าวถือว่าบังคับและผูกพันกันได้ตามกฎหมาย เพราะพื้นที่ส่วนกลางของตลาด ถ้าไม่ได้มีการจัดตั้งเป็นนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ก็จะไม่มีกฎหมายมารองรับ จึงต้องใช้วิธีการตกลงกันเอง กรณีดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นค่าคุ้มครอง แต่ถือว่าเป็นค่าส่วนกลางไม่ผิดกฎหมาย ส่วนการเก็บค่าคุ้มครองจากมาเฟียหรือผู้มีอิทธิพลโดยไม่สมัครใจและเจ้าของร้านค้าไม่เคยทราบมาก่อนที่จะมาเช่าหรือซื้อร้านค้าเพื่อประกอบธุรกิจ และจำเป็นต้องจ่ายเพราะถูกบังคับจิตใจหากไม่จ่ายมีการข่มขู่ว่าจะเป็นอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย ชื่อเสียง ทรัพย์สินของเจ้าของร้านค้า กรณีดังกล่าวเท่ากับว่าไปเก็บค่าคุ้มครองโดยไม่มีสิทธิที่จะเก็บจึงผิดกฎหมาย กรณีดังกล่าวถือว่ามีความผิดฐานกรรโชก และถ้าเป็นขบวนการใหญ่อาจมีความผิดฐานอั้งยี่ ซ่องโจรก็ได้
ตัวอย่างของคำพิพากษาของศาลฎีกาเกี่ยวกับการเก็บค่าส่วนกลางหรือค่าคุ้มครอง
กรณีไม่ผิดกฎหมายและไม่ถือเป็นการกรรโชก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 131/2546 เรียกค่าดูแล ผู้เสียหายจะให้หรือไม่ก็ได้ ไม่มีการใช้กำลัง
วันเกิดเหตุขณะผู้เสียหายกำลังจัดของอยู่กลางร้าน จำเลยทั้งสี่เข้ามาในร้านผู้เสียหายถามว่ามาซื้ออะไร จำเลยที่ 1 บอกว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมาดูแลความเรียบร้อยในร้าน ต้องการเงิน 5,000 บาท เป็นค่าดูแล ผู้เสียหายรู้สึกไม่ปลอดภัยจึงเดินไปหลังร้านโทรศัพท์ไปที่สถานีตำรวจแต่ไม่ติด เมื่อเดินออกมาหน้าร้านก็เห็นจำเลยทั้งสี่เดินขึ้นรถยนต์กระบะไป จะเห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 เพียงแต่อ้างว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและพูดขอเงินเป็นค่าดูแลร้านเท่านั้น ซึ่งผู้เสียหายจะให้หรือไม่ก็ได้ ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสี่ใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้เสียหายหรือบุคคลที่สามแต่อย่างใด และจำเลยทั้งสี่ไม่ได้รอเอาเงินจากผู้เสียหายตามที่พูด คำพูดของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อเสรีภาพและทรัพย์สินของผู้เสียหาย ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 670/2521
จำเลยเป็นตำรวจแต่งเครื่องแบบไปขอเงินผู้เสียหาย โดยอ้างว่าผู้ใหญ่ให้มาเอา เมื่อผู้เสียหายว่าไม่มี จำเลยพูดว่าค้าขายใหญ่โตไม่คิดติดต่อกับตำรวจบ้างหรือแล้วจำเลยกลับไป ต่อมาอีกประมาณ 1 ชั่วโมง จำเลยกลับมาหาผู้เสียหายอีก และบอกว่ารองผู้กำกับการตำรวจให้มาเอาเงิน 3,000-4,000 บาท ผู้เสียหายจะให้เพียง 100 บาท จำเลยว่าไม่พอ ดังนี้ ทางพิจารณาไม่ได้ความว่าจำเลยแกล้งกล่าวหาจับกุมผู้เสียหายในข้อหาใด แล้วจำเลยใช้อำนาจหน้าที่ข่มขืนใจให้ผู้เสียหายมอบเงินแก่จำเลย การที่จำเลยขอเงินจากผู้เสียหาย จำเลยไม่ได้ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยเอง ที่จำเลยพูดว่าค้าขายใหญ่โตไม่คิดติดต่อกับตำรวจบ้างหรือ ก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อเสรีภาพและทรัพย์สินของผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 และ 337 ประกอบด้วยมาตรา 80
กรณีผิดกฎหมายและถือเป็นการกรรโชก
คำพิพากษาฎีกาที่ 3723/2554 เก็บเงินค่าวิน ไม่ให้ก็กลับบ้านไป ยึดเสื้อวินคืน กับให้ระวังตัวให้ดี
จำเลยที่ 1 เรียกประชุมสมาชิกคนขับรถจักรยานยนต์รับจ้างในวินของจำเลยที่ 1 ซึ่งผู้เสียหายบางคนไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย โดยจำเลยทั้งสองได้บอกให้สมาชิกทราบว่าจำเลยที่ 1 ขอเก็บเงินค่าวินจากสมาชิกคนละ 950 ต่อเดือน หากสมาชิกคนใดไม่ยอมจ่ายเงินให้ ก็ให้สมาชิกคนนั้นกลับบ้านต่างจังหวัดไป จำเลยทั้งสองจะยึดเสื้อวินคืนกับให้ระวังตัวให้ดี คำพูดดังกล่าวมีลักษณะเป็นการข่มขู่ขืนใจให้สมาชิกทั้งที่เข้าร่วมประชุมยอมจ่ายเงินเป็นรายเดือนเดือนละ 950 บาท ให้แก่จำเลยที่ 1 และไม่ให้สมาชิกบอกเรื่องที่ต้องจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 1 ให้บุคคลอื่นรวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐทราบด้วย โดยการขู่เข็ญให้สมาชิกทราบว่าหากสมาชิกคนใดไม่ยอมกระทำตามที่บอกสมาชิกก็จะได้รับผลร้าย คือจะถูกยึดเสื้อวินที่สมาชิกสวมใส่ในการขับขี่จักรยานยนต์รับจ้างคืนซึ่งหมายความว่าสมาชิกคนนั้นจะไม่สามารถจอดรถจักรยานยนต์ของตนที่วินของจำเลยที่ 1 เพื่อรอให้ผู้โดยสารว่าจ้างอีกต่อไป อันเป็นการขู่เข็ญสมาชิกว่าจำเลยทั้งสองจะทำอันตราต่อเสรีภาพของบรรดาสมาชิก ส่วนคำว่าให้ระวังตัวให้ดีนั้นคนปกติทั่วไปก็สามารถเข้าใจได้ว่า เป็นลักษณะคำพูดข่มขู่ให้คนที่ได้รับฟังให้เกิดความกลัวอยู่ในตัวว่าอาจจะเกิดอันตรายต่อชีวิตหรือร่างกายได้ จึงเป็นกรณีจำเลยทั้งสองขู่เข็ญสมาชิกว่าจำเลยทั้งสองจะทำอันตรายต่อชีวิตหรือร่างกายของบรรดาสมาชิกซึ่งผู้เสียหายหลายคนยอมจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงครบองค์ประกอบความผิดฐานกรรโชก
นอกจากนี้ยังมีฎีกาที่ตัดสินทำนองเดียวกัน เช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3058/2539 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1796/2541
ตลาดนัดในกรุงเทพมหานครส่วนใหญ่ก็จะมีผู้กว้างขวางดูแลทั้งนั้น การเก็บเงินค่าส่วนกลางเป็นเรื่องปกติและสมยอมทั้งนั้น แต่บางตลาดอาจมีการบังคับจิตใจและข่มขู่ถ้าไม่ให้จะเดือดร้อน แบบนี้เรียกว่ากรรโชก ไม่ใช่เก็บค่าส่วนกลาง