ข้อกฎหมายคดีนายเปรมชัยกับพวก 4 คน ล่าสัตว์ป่าในเขตหวงห้าม เนื้อหาในบันทึกจับกุมโดยสังเขป
1. พบนายเปรมชัยกับพวก 4 คนในเขตหวงห้ามจริง
2. พบอาวุธปืนและซากสัตว์ จำนวนหลายรายการบริเวณ ที่พักและบริเวณใกล้เคียง ห่างเพียง 5 เมตรและ 15 เมตรตามลำดับ
3. เจ้าหน้าที่ได้เตือนกลุ่มของนายเปรมชัยแล้วแต่ไม่เชื่อ
4. เจ้าน้าที่ยืนยันเห็นการกระทำความผิดของ 1 ใน 4 ผู้ต้องหากำลังจ้องยิงสัตว์ บันทึกการจับกุมระบุพฤติการณ์การกระทำความผิดโดยละเอียดทุกขั้นตอนผู้ต้องหาทั้ง 4 คนลงรับทราบเนื้อหาว่าเป็นความจริง จึงต้องเป็นไปตามนั้นไม่สามารถนำสืบเป็นอย่างอื่น เพราะไม่ได้โต้แย้งคัดค้าน
5. มาด้วยกันไปด้วยกัน รู้เห็นการกระทำของกันและกัน ถึงแม้จะไม่ได้ยิงสัตว์ป่าแต่ก็ถือเป็นตัวการร่วม จะต้องรับผิดในผลของการกระทำ ของผู้ต้องหาคนอื่นซึ่งเป็นผู้ลงมือ
6. เมื่อเทียบกับแนวคำพิพากษาฎีกาที่ผ่านมา เท่าที่ผมตรวจสอบมี 3 ฎีกาสู้คดียากมากครับ ยกเว้นทนายเก่งจริงๆ และคดีที่ผ่านมาส่วนใหญ่รับสารภาพและศาลพิพากษาจำคุกคดีไม่มีการรอลงอาญา เพราะพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดเป็นเรื่องร้ายแรงตั้งจริง เทียบเคียง คำพิพากษาฎีกาที่ 4737/2545 ฎีกาที่ 227/2551 และอีกคดีหนึ่งเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 1643/2557 ที่จังหวัดเพชรบุรี ศาลฎีกาตัดสินเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2560 (เป็นความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ)
1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4737/2545
คำฟ้องโจทก์ได้บรรยายไว้ว่า จำเลยกับพวกได้บังอาจร่วมกันล่าปะการังแข็งทุกชนิดในอันดับ Scleractinia และ Stylasterina ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ซึ่งคำว่าล่า นั้น ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ได้ให้คำนิยามไว้ว่าหมายความว่า เก็บ ดัก จับ ยิง ฆ่า หรือทำอันตรายด้วยประการอื่นแก่สัตว์ป่าที่ไม่มีเจ้าของและอยู่เป็นอิสระ ดังนั้น เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันล่าปะการังแข็ง ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองย่อมหมายความถึงปะการังนั้นไม่มีเจ้าของและอยู่เป็นอิสระโดยหาต้องบรรยายถ้อยคำดังกล่าวไว้ในคำฟ้องอีก ส่วนคำบรรยายฟ้องต่อมาเป็นการบรรยายรายละเอียดถึงวิธีการล่าโดยการเก็บหรือทำอันตรายด้วยประการอื่นใด ซึ่งน่าจะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี คำฟ้องโจทก์จึงหาได้เคลือบคลุมไม่
ความผิดฐานล่าสัตว์ป่าคุ้มครอง และความผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง มีองค์ประกอบของความผิดแตกต่างกันและแยกต่างหากจากกัน จำเลยล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยการเก็บหรือทำอันตรายด้วยประการใด ๆ แก่สัตว์ป่าคุ้มครองย่อมเป็นการกระทำโดยเจตนาที่จะล่าสัตว์ป่าคุ้มครองและเป็นความผิดสำเร็จ เมื่อจำเลยเก็บหรือทำอันตรายแก่สัตว์ป่าคุ้มครอง และการที่จำเลยมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครองจำนวน 38 กระสอบย่อมเป็นเจตนาอีกอันหนึ่งในการที่จะครอบครองซากสัตว์ป่าคุ้มครองจำนวน 38 กระสอบ แยกต่างหากจากการเป็นเก็บหรือทำอันตรายแก่สัตว์ป่าคุ้มครอง ถือได้ว่าความผิดทั้งสองฐานเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 227/2551
ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 มาตรา 4 ให้คำนิยามของคำว่า "ล่า" หมายความว่า เก็บ ดัก จับ ยิง ฆ่า หรือทำอันตรายด้วยประการอื่นใดแก่สัตว์ป่าที่ไม่มีเจ้าของและอยู่เป็นอิสระ และหมายความรวมถึงการไล่ การต้อน การเรียก หรือการล่อเพื่อการกระทำดังกล่าวด้วย ดังนั้น การเคาะไม้ไล่ต้อนสัตว์ป่าจึงอยู่ในความหมายของคำว่า "ล่า" ตามคำนิยามดังกล่าว การที่จำเลยกับพวกร่วมกันเคาะไม้ไล่ต้อนสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเพื่อให้พวกของจำเลยที่ดักซุ่มรออยู่ใช้อาวุธปืนยิง จึงเป็นความผิดสำเร็จฐานล่าสัตว์ป่า มิใช่เป็นเพียงความผิดฐานพยายามล่าสัตว์ป่า